02/05/2024

เด็กจีนยุคทันสมัย แต่ต้องวิ่งไล่หางาน

 

โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

จบจากเป็นเจ้าภาพจัด “เอเชี่ยนเกมส์”ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว  จีนก็จัดอีกหนึ่งงานใหญ่ที่โหมประโคมล่วงหน้ามาตั้งแต่ต้นปี  นั่นคืองานประชุมที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 18 ตุลาคม 2023 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ( Belt and Road Innitiative : BRI) อภิมหาโครงการที่จีนเป็นผู้จุดประกายความคิดและสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศในการลงทุนเพื่อพัฒนาการเชื่อมต่อโลกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

งานนี้จีนจะได้โอกาสทำการประชาสัมพันธ์ใหญ่อีกครั้งด้วยภาพของผู้นำนานาประเทศที่เดินทางไปร่วมประชุม  พร้อมกับการประกาศถึงความสำเร็จในการสร้างผลงานแห่งความร่วมมือ  ผลประโยชน์ร่วมทางการค้าระหว่างประเทศ  การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละประเทศตามเส้นทางของการพัฒนา  และเป้าหมายที่จะเดินหน้า BRI ต่อไปในทศวรรษที่สอง

 

 

ภาพความยิ่งใหญ่อลังการในแต่ละงานที่จีนโชว์ต่อชาวโลกประเภท “เล็กๆไม่ทำ ใหญ่ๆต้องเป็นจีน”นั้นคงสามารถสร้างความเชื่อมั่น  การยอมรับ  และความร่วมมือแก่นานาประเทศได้ต่อไป  ยกเว้นคู่กัดอย่างสหรัฐอเมริกาที่มองจีนคือภัยแห่งความมั่นคง  และคอยหาจังหวะที่จะดิสเครดิตของจีนอยู่เสมอ

ดังเช่นที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยใส่ไฟกล่าวถึงจีนเอาไว้เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2023ว่า  จีนเป็น “ระเบิดเวลา” ที่กำลังนับถอยหลังสู่การระเบิด  เนื่องจากความท้าทายด้านเศรษฐกิจ และจีนกำลังประสบปัญหาเพราะการเติบโตที่อ่อนแอ

 

 

นับตั้งแต่ปี 1989 GDP จีนเติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 9%  ครั้นพอเจอสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักจนจีนต้องปิดประเทศถึง 3 ปีมีผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตแบบถดถอยหนัก  ล่าสุดธนาคารโลกคาดว่าในปี 2023 GDP จีนจะเติบโตในอัตรา 5.1%  (เทียบกับสหรัฐฯที่คาดว่าจะโตเพียง 1.1%)

เศรษฐกิจขยายตัวได้ 5.1% ถือว่าไม่น้อย  แต่ที่ไบเดนใช้คำว่า “ระเบิดเวลา” เพราะรู้ว่าเศรษฐกิจในบ้านจีนตอนนี้มีปัญหาให้แก้ไขพอสมควร  ทั้งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อมาสองปี  สถาบันการเงินที่ออกอาการตาม  ปัญหา “เงินฝืด”ที่สวนทางเศรษฐกิจโลกที่เจอเงินเฟ้อ

และที่กำลังเป็นปัญหาในกระแสสังคมจีนยามนี้คือ “คนรุ่นใหม่ในยุคจีนทันสมัยกลับพากันตกงาน

 

บัณฑิตจบใหม่ปีละกว่า11ล้านคน​ และ1ใน5มีโอกาสเตะฝุ่น

 

หลังโควิดคนจีนเจอสภาพกระเสือกกระสนหางานทำ  เด็กจบการศึกษาใหม่หางานทำอย่างยากลำบาก     จนมีตัวเลขออกมาว่าเยาวชนจีน อายุ 16-24 ปี มากกว่า 1 ใน 5 หรือ 21.3% เจอปัญหาว่างงาน

นักวิชาการจีนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งประเมินว่าอัตราการว่างงานของหนุ่มสาวจีนอาจจะสูงมากกว่า 40% เพราะบัณฑิตจบใหม่ปีละกว่า 11 ล้านคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน  แต่ตลาดมีงานไม่สอดคล้อง  เด็กจีนเรียนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก  แต่ตำแหน่งงานสายนี้กลับลดลง

 

 

คาดว่าในปี 2023 คนจีนที่มีงานทำแค่ 733.5 ล้านคน 

ปัญหาแรงงานเริ่มก่อตัวตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2017 โดยใช้นโยบายเปิดสงครามการค้ากับจีน  มีผลต่อการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตในจีนแล้วส่งเข้าตลาดสหรัฐฯที่เจอกำแพงภาษี  บริษัทต่างชาติรวมถึงบริษัทจีนเองที่ได้รับผลกระทบเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน  ต่อเนื่องจนถึงยุคประธานาธิบดีไบเดนที่ดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นในการสกัดกั้นการเติบโตของจีนถึงขั้นสั่งห้ามบริษัทอเมริกันไปร่วมลงทุนกับจีนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

ช่วงโควิดระบาดมีการล็อคดาวน์เมืองสั่งหยุดทุกธุรกรรมจนถึงขั้นล็อคดาวน์ประเทศยาวนาน 3 ปี  มีผลโดยตรงต่อตลาดแรงงาน  แม้เมื่อมีการผ่อนคลายและจีนมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว  แต่การจ้างงานในจีนหลังโควิดมิได้กลับมาเป็นปกติ  เพราะSMEsจำนวนมากตายไปแล้วไม่ฟื้น

แค่นี้ตลาดแรงงานก็เหนื่อยแล้ว  แต่รัฐบาลจีนยังหาเรื่องให้ตัวเองอย่างไม่คาดคิดนั่นคือการแทรกแซงภาคธุรกิจเอกชนด้วยนโยบาย “จัดระเบียบสังคม”   อาทิ จัดระเบียบสถาบันกวดวิชา  หลังจากกระแสสังคมเริ่มสะท้อนปัญหาการแข่งขันทางการศึกษาอย่างบ้าคลั่ง  กดดันเด็ก  ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น  เมื่อรัฐบาลออกโรงมาเข้มงวดกวดขันครูในโรงเรียนห้ามรับสอนพิเศษ    ธุรกิจกวดวิชาจึงต้องลดหรือเลิกการจ้างงานทันที

 

หรืองานอิสระไล์ฟสดจำหน่ายสินค้า​ ที่ทำกันเป็นล้านๆคน

 

หรือการจัดระเบียบบริษัทด้านเทคโนโลยี ไอที ออนไลน์ ที่กำลังเติบโตและขยายกิจการ  ด้วยข้อหาว่าร่ำรวยเกินไป  ผูกขาดเกินไป   ใหญ่จนมองข้ามหัวรัฐบาล (อย่างกรณีอาลีบาบาของแจ๊ค หม่า) มีผลให้เหล่าบรรดาบริษัทไอที อีคอมเมิร์ซหัวหด  เบรกแผนการลงทุนที่ถูกมองว่าเป็นการกอบโกยกำไรจากประชาชน ลดการจ้างงานที่ไม่จำเป็น

ส่วนบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นแน่นอนว่าทางราชการได้เข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ที่เคยฟาดกำไรมหาศาล  มีผลให้โครงการใหม่ๆต้องชะลอการเปิดตัวซึ่งมีผลต่อการจ้างงานตามไปด้วย

รัฐบาลรู้ปัญหามานานแล้ว  เมื่อต้นปี 2023 กำหนดเป้าหมายเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ในเขตเมืองเป็น 12 ล้านตำแหน่ง  เพราะอัตราการว่างงานในเขตเมืองสูง 5.5%   อีกทั้งยังกำหนดนโยบายเร่งดึงการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ  ประกาศปีแห่งการลงทุนในจีน (Invest in China Year)

 

ในเขตเมืองถ้าไม่เลือกงานยังมีงานบริการรับส่งสินค้าและอาหารให้ทำอีกมาก

 

งานในเขตเมืองยังมีให้ทำไม่น้อยแต่นายจ้างรู้ว่าคนล้นงานจึงเสนอรายได้ต่ำกว่าวุฒิ  รัฐบาลรู้แต่แก้ไขไม่ได้จึงแนะนำว่า “อย่าเลือกงาน” ทำอะไรได้ให้ทำไปก่อน  และรณรงค์ให้ไปตั้งตัวในชนบท  มีการออกแผน 15 ประการ สนับสนุนคนหนุ่มสาวที่ต้องการทำธุรกิจของตัวเอง  กระตุ้นคนหนุ่มสาวที่กำลังว่างงานในเมืองใหญ่ให้ออกสู่ชนบท  ออกไปสร้างตัวตามพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ

สันนิบาตเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมา เรียกร้องให้นักศึกษาจบใหม่ เก็บชุดครุย  ม้วนขากางเกง  แล้วลงไปที่ทุ่งนา  ส่วนรัฐบาลท้องถิ่นอย่างมณฑลกวางตุ้งออกมาขานรับนโยบายทันทีแนะนำให้ส่งคนหนุ่มสาวกว่า 3 แสนคนสู่ชนบทเป็นเวลา 2-3 ปี

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ People’s Daily เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมว่า  “หลายครั้งที่ความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้น ก็เป็นผลมาจากความยากลำบากในชีวิตวัยเด็ก” แสดงตนเป็นผู้นำแห่งจิตวิญญาณให้เยาวชนของชาติไปร่วมแสวงหาความยากลำบากในชนบทก่อนจะประสบความสำเร็จในชีวิต

 

รัฐบาลรณรงค์ให้คนหนุ่มสาวออกไปทำงานในเขตชนบท

 

แต่ท่านผู้นำคงไม่ทันฟังเด็กยุคนี้ที่มองว่า  เป็นช่วงเวลาที่แตกต่างระหว่างความล้าหลัง กับความเจริญทางด้านเทคโนโลยี  ทำไมต้องให้พวกเขาไปเผชิญชะตากรรมที่ยากลำบากแบบในอดีต  ผู้นำจีนกำลังบอกให้คนรุ่นหลังอดทนกับค่าแรงที่สวนทางกับความรู้ความสามารถ  บอกให้อดทนกับงานที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติ  หรือทำงานหนักในเวลาติดต่อกันนานๆโดยไม่ได้พักจิบชา

วันนี้เริ่มมีแรงต่อต้านในโซเชียลมีเดีย  เริ่มแข็งขืนต่อต้านแนวคิดรัฐบาล

นี่คือความหมายของ “ระเบิดเวลา”ที่โจ ไบเดน กล่าวถึงหรือเปล่า

………………………………………………………….

หมายเหตุ : ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์  ปีที่ 18 ฉบับที่ 414 วันที่ 16-31 ตุลาคม พ.ศ.2566              

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *