รัฐสภาไฟเขียว“เศรษฐา”เป็นนายกฯ
วันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีการประชุมรัฐสภา วาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน อายุ 61 ปี อดีตซีอีโอบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้ที่ประชุมพิจารณาโดยไม่มีคู่แข่งขัน
ที่ประชุมได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายเศรษฐาอย่างเข้มข้นเป็นเวลายาวนานกว่า 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นฝ่ายสมาชิกวุฒิสภา( สว.)2 ชั่วโมง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)3 ชั่วโมง
เมื่อถึงเวลา 15.24 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้เปิดให้สมาชิกลงคะแนนโหวตด้วยการขานชื่อโดยเปิดเผย เรียงลำดับตามตัวอักษร จนถึงเวลา 17.35 น.สรุปผลโหวตนายเศรษฐา เห็นชอบ 482 เสียง(สส. 330 เสียง สว.152 เสียง) ไม่เห็นชอบ 165 เสียง(สส.152 เสียง สว.13เสียง) งดออกเสียง 81 ( สส.13 เสียง สว.68 เสียง ) รวม 728 เสียง จากสมาชิกรัฐสภา 747 เสียง ทำให้นายเศรษฐา ได้รับการโหวต เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
มีข้อน่าสังเกตจากการโหวตครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ที่มี สส.25 คน มีมติพรรคว่าจะงดออกเสียง แต่กลับมีการแหกโผหักมติพรรค มีสส. 16 คนโหวตเห็นชอบนายเศรษฐา ขณะที่นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายราชิต สุดพุ่มโหวตไม่เห็นชอบ เหลือเพียงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์และสส.อีก 5 คน ที่โหวตงดออกเสียงตามมติพรรค
หลังจากนี้เมื่อมีการจัดสรรเก้าอี้จัดตั้งรัฐบาลแล้วเป็นที่น่าติดตามว่านโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่นายเศรษฐา ทวีสิน เคยหาเสียงไว้เรื่องแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้งบรวม 560,000 ล้านบาท ภายในครึ่งปีแรกของปี 2567 จะได้รับการผลักดันให้เป็นจริง หรือจะเป็นเพียงแค่ลมปากเหมือน “ไม่เอา 2 ลุง”