รอยัลลากูน กรรมของผู้ซื้อบ้าน
เป็นเรื่องเหลือเช่าที่ผู้ซื้อบ้านในโครงการอยัลลากูน ยังไม่สามารถต่อน้ำประปาเข้าหมู่บ้านได้แม้จะซื้อบ้านมา 20 ปีแล้ว สภาพสาธารณูปโภคโครงการก็เสื่อมทรุดลงเรื่อยๆ โดยไม่รู้จะแก้ไขได้อย่างไร อยู่เหมือนอยู่ในแผ่นดินที่ถูกสาป
ตามที่มีกรณีพิพาทหมู่บ้านจัดสรรรอยัลลากูน ต.ทรายมูล อ.องครักษ์ จ.นครนายก ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อมูลค่าทรัพย์สินเป็นอย่างมาก สมาคมผู้ซื้อบ้านจึงขอเสนอความเห็นเพื่อท่านจะได้หาทางแก้ไขโดยด่วน
การสำรวจ
ในวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566 คณะของสมาคมผู้ซื้อบ้านได้ไปสำรวจและพบปะกับผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านจัดสรรรอยัลลากูนดังกล่าว ประกอบด้วย
- ดร.โสภณ พรโชคชัย นายกสมาคม
- นายวิญญู วรัญญู อุปนายกสมาคม
- ดร.บุญชะ บุญเลิศ กรรมการสมาคม
- น.ส.อริยาภรณ์ ทิมนาค ที่ปรึกษาสมาคม
เกี่ยวกับหมู่บ้านรอยัลลากูน ต.ทรายมูล
หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ตั้งอยู่ ต.ทรายมูล อ.องครักษ์ จ.นครนายก แต่เดิมเป็นโครงการหมู่บ้านใหญ่ถึง 444 แปลงในเนื้อที่ 140 ไร่เศษ โดยได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตั้งแต่ปี 2543 และเริ่มเปิดขายตั้งแต่ปี 2545 โดยขายที่ดินเปล่าจัดสรร และบ้านเดี่ยว 1-2 ชั้น แปลงละประมาณ 70-100 ตารางวา
ต่อมาบริษัทเจ้าของโครงการล้มละลายลง ที่ดิน 252 แปลงทางซีกขวา (ตะวันออก) ของโครงการตกอยู่ในการครอบครองของ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก) ส่วนซีกซ้ายจำนวน 192 แปลงมีผู้ซื้อไปหมดแล้ว โดยมีบ้านอยู่ 47 หลัง แต่ขณะนี้เหลือผู้อยู่ประจำจริงเพียง 29 หลัง และมีอีก 10 หลังไม่ได้อยู่ประจำ นอกนั้นเป็นบ้านร้าง
กรณีพิพาทหมู่บ้านรอยัลลากูน ต.ทรายมูล
ที่ผ่านมาได้เกิดกรณีพิพาทหลายประการจนนำไปสู่การฟ้องร้องหลายคดี (ซึ่งคงไม่สามารถสรุปไว้ได้ในหนังสือนี้) แต่ทำให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น
- ระบบสาธารณูปโภคเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ลากูนและคลองซอยก็กลายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเสีย
- ไม่มีระบบประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคเช่นหมู่บ้านอื่น ผู้อยู่อาศัยต้องซื้อน้ำเป็นคันรถในราคาแพงเป็นเงินประมาณลูกบาศก์เมตรละ 50 บาท
- เกิดปัญหาน้ำท่วมขังถี่และนานยิ่งขึ้น ไม่มีระบบป้องกันน้ำท่วม จนบางช่วงของปี เกิดความขาดแคลนน้ำเพราะรถขายน้ำไม่สามารถเข้าไปให้บริการได้
- อื่นๆ
ความด้อยค่าของมูลค่าทรัพย์สิน
ในหมู่บ้านมีผู้พยายามขายบ้านบ้าง แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ยกเว้นรายหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินประมาณ 70 ตารางวา มีบ้าน 1 ชั้น 1 หลัง แต่สภาพทรุดโทรมจนคงต้องรื้อ ในต้นปี 2566 มีผู้ซื้อไปในราคา 500,000 บาท หรือตารางวาละ 7,000 บาท (ไม่คิดมูลค่าตัวบ้านและยังอาจมีค่ารื้อถอน) ราคาที่ขายเมื่อปี 2546 หรือ 20 ปีก่อน ก็เป็นเงิน 6,000 บาทต่อตารางวา แสดงว่าราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย
เมื่อปี 2564 มีผู้มาซื้อบ้านในหมู่บ้านนี้ขนาด 68 ตารางวา มีบ้าน 2 ชั้นขนาด 100 ตารางเมตร ในราคา 1.2 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาในปี 2546 เป็นเงิน 1.1 ล้านบาท แสดงว่าราคาแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย
ในการประมาณการความด้อยค่า ได้ดำเนินการดังนี้
- จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) พบว่าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3-4% อย่างไรก็ตามในกรณีพื้นที่แถบนี้ (องครักษ์) ราคานี้จะขึ้นน้อยกว่า โดยประมาณการไว้ราว 2.75%
- การเพิ่มพูนมูลค่าคงต้องมีการดูแลชุมชนที่ดี ในที่นี้ประมาณการไว้ที่ 0.25% ของมูลค่าบ้าน โดยที่หมู่บ้านนี้ขาดดการดูแล จึงทำให้อัตราเพิ่มของมูลค่าเท่ากับ 2.5% (2.75-0.25%)
- ที่ดินเปล่าที่เคยขายตารางวาละ 6,000 บาท ถ้าเพิ่มพูนมูลค่า 2.5% ต่อปี ในเวลา 20 ปี ก็ควรเป็นเงิน 10,000 บาท แต่ราคาที่มีการซื้อขายจริงกลับเป็นเพียง 7,000 บาทต่อตารางวา แสดงว่าราคาจริงเป็นเพียง 70% ของราคาที่ควรจะเป็น
- ส่วนบ้านเดี่ยวที่เคยขายในราคา 1.1 ล้านบาท จึงควรเพิ่มมูลค่าเป็น 1.025^20ปี คูณด้วยราคาบ้าน 1.1 ล้านบาท หรือเท่ากับ 1.8 ล้านบาท บ้านที่ซื้อ 1.2 ล้านบาทในปี 2564 คาดว่ายังคงเท่าเดิมมาถึงปี 2566 (ยกเว้นส่วนที่ได้ตบแต่งต่อเติมใหม่) ดังนั้นมูลค่าที่หายไปเป็นเงินราว 600,000 บาท หรืออีกนัยหนึ่งราคาปัจจุบัน (1.2 ล้านบาท) เป็นเพียง 67% ของราคาที่ควรจะเป็น
- ในจำนวน 192 แปลงที่จัดสรรขายไปแล้ว สมมติมีพื้นที่ขายรวมกัน 16,000 ตารางวา หากขณะนี้เป็นเงินตารางวาละ 7,000 บาท ก็เป็นเงิน 112 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นตารางวาละ 10,000 ตามประมาณการก็จะเป็นเงิน 160 ล้านบาท เท่ากับด้อยค่าไป 48 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับรวมตัวอาคาร
คำถามสำคัญก็คือความสูญเสียหรือการด้อยค่าลงของที่ดินในโครงการนี้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ บางทีกระบวนการยุติธรรมและการถือปฏิบัติทางกฎหมายที่ล่าช้า อาจเป็นปัญหา
ข้อสังเกต
การด้อยค่าลงนี้เป็นผลพวงจากข้อพิพาทและการขาดแคลนสาธารณูปโภค หากมีการบำรุงรักษาที่ดี หมู่บ้านนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากการลงทุนพัฒนา/ซ่อมแซมสาธารณูปโภคจึงคุ้มค่ามาก เช่น หากสามารถจัดทำระบบประปาใหม่ ก็ใช้เงินเพียง 3.3 ล้าน (บางส่วน) หรือทั้งหมด 4.7 ล้านบาท (ตามข้อมูลของกลุ่มผู้อยู่อาศัย)