ย้อนยุทธศาสตร์ก้าวไกล ทำไม? จึงแลนด์สไลด์

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล
“ให้การฟอร์มรัฐบาลได้เกินกว่า 300 เสียง เพื่อจะดูว่า ส.ว.250 เสียงที่จะร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี จะกล้าขัดใจเสียงประชาชนส่วนใหญ่ไหม”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศมากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนส.ส.เขต 113 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 39 คน รวม 152 คน กลายเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ นอกจากเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของคนไทย เป็นการพิสูจน์ว่ากระแสไม่แพ้กระสุน และเป็นการปลดล็อกการเมืองไทยจากกลุ่มอำนาจเก่าแล้ว ยังเป็นบทพิสูจน์ด้วยว่า การปรับยุทธศาสตร์ในการทำการเมืองของพรรคก้าวไกลช่วงปลายปี 2565 คือจังหวะสำคัญที่นำมาสู่ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ โดย The Leader Asia ขอนำคำพูดบางส่วนที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้เคยให้สัมภาษณ์พิเศษไว้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ที่อาคารรัฐสภา ภายหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มาให้ได้อ่านทบทวนดังนี้
lประเมินผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่พรรคก้าวไกลส่งคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ลงสมัคร ได้อันดับ 3 และได้ สมาชิกสภากทม. 14 เขต
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากทม.ที่ผ่านมา เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้คนรู้สึกอย่างไร คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ได้เป็นแค่ผู้ว่าฯกทม. แต่เหมือนเป็นฉันทามติใหม่ สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คะแนนเสียงกว่า 1.38 ล้านคะแนน คือความต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว ต้องการเห็นวิธีการคิด วิธีการทำงานที่ไม่ใช่นักการเมืองแบบเก่า
ในส่วนของพรรคก้าวไกล คุณวิโรจน์มาที่ 3 แพ้ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อันดับ 2 ไปนิดเดียวอย่างน่าเสียดาย เมื่อย้อนกลับไปดูทำให้เรานึกถึงอารมณ์ของการเลือกตั้งที่ผู้คนต้องการคนที่สามารถทำงานได้กับทุกฝ่ายและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้ เมื่อเทียบกับผู้ว่าฯที่ต้องการพุ่งชน และแก้ปัญหาทางโครงสร้าง จึงเป็นเรื่องที่ต้องจัดเรียงกระบวนท่าว่าอันไหนคือเรื่องระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่พรรคก้าวไกลจะต้องเอามาปรับใช้กับการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ส่วนใหญ่เราจะเน้นเรื่องโครงสร้าง การทลายทุนผูกขาด การกระจายอำนาจ รัฐ-ราชการรวมศูนย์ต้องหยุด ล้วนเป็นเรื่องโครงสร้างในระยะยาวที่รัฐบาลสองสมัยถึงจะทำได้ แต่ตอนนี้มีเรื่องโควิด-19 เรื่องวิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ ของแพงค่าแรงถูก ผู้คนต้องการคำตอบระยะสั้น ดังนั้นบทเรียนจากสนามกทม. เรื่องนโยบายยังเน้นโครงสร้างเหมือนเดิมเพราะเป็นลายเซ็นต์ของพรรคก้าวไกล แต่ต้องมีนโยบายระยะสั้น กลาง ยาว ที่แก้ไขปัญหาได้ทันที
ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภากรุงเทพฯ หรือ ส.ก.ที่ได้มา 14 เขต เทียบแล้วยังเท่าเดิม แปลว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ เอาคุณธนาธร(จึงรุ่งเรืองกิจ) คุณปิยบุตร(แสงกนกกุล) คุณช่อ(พรรณิการ์ วานิช) ออกไป ไม่สามารถทุบทำลายแนวทางหรือวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ในการทำการเมืองอย่างพรรคก้าวไกลได้ คนกรุงเทพฯยังให้การสนับสนุน แต่ขณะเดียวกันเราอยู่มา 3 ปีกว่าได้พิสูจน์ฝีมือในสภามาพอสมควรแล้ว คะแนนก็ยังไม่เพิ่มขึ้น เราเหลือเวลาอีกประมาณ 8 เดือนก่อนจะครบวาระรัฐบาล ก่อนจะมีการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลตอนนี้ไม่ใช่พรรคใหม่จึงมีโจทย์และความท้าทายสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป
lการเลือกตั้งปี 2566 ที่กำลังจะมาถึง พรรคก้าวไกล 52 ที่นั่ง มีปัจจัยใดที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะ ก้าวไกลทั้งแผ่นดินตามแคมเปญที่ประกาศไว้
แคมเปญ “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”ในเชิงปริมาณเราต้องการจำนวนส.ส.เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 52 ที่นั่ง ต้องมีส.ส.เขตให้มากที่สุดครอบคลุมถึงทุกภูมิภาครวมถึงภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่พรรคฝ่ายค้านจะทำพื้นที่ได้ยาก เราจึงต้องกลับมาทบทวนว่าพรรคจะต้องทำอะไรใหม่บ้าง
แผนการเลือกตั้ง ต้องกำหนดพื้นที่เป้าหมาย เช่นการป้องกันแชมป์ การหาทางเอาชนะพื้นที่ที่เคยแพ้การเลือกตั้งเพียงเล็กน้อย พื้นที่ที่มีคะแนนพื้นฐานเกินค่าเฉลี่ย 2 หมื่นคะแนน
สุดท้ายคือการกลับมาปฏิรูปตัวเอง 3 เรื่องคือ คน นโยบาย และพรรค มิติของคนต้องเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิมเพราะถูกประชาชนถามเรื่อง “งูเห่า”เยอะ ต้องปรับปรุงกระบวนการคัดสรรคน การสัมภาษณ์ การทดลองทำงาน ตรวจสอบประวัติก่อนจะส่งชิงผู้แทน เรื่องนโยบายไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างโครงสร้างกับปากท้อง ต้องเป็นนโยบายที่เป็นเรื่องเดียวกันและเราต้องแก้ปากท้องก่อน ส่วนเรื่องพรรค คือต้องระดมสมองระหว่างประชาชนกับพรรค
พรรคก้าวไกลมาไกล แต่สิ่งที่พาเรามาจากอดีตถึงปัจจุบันไม่อาจพาเราไปสู่อนาคตอันใกล้ได้ ต้องมีการปรับโฉมใหม่ของพรรคทั้งด้านนโยบาย การสื่อสาร การเข้าหาสื่อ การลงพื้นที่ การทำหน้าที่ในสภา การระดมทุน การเอาอาสาสมัครเข้ามาช่วย เหล่านี้เป็นมิติที่ต้องปฏิรูปพรรคในหลายๆรูปแบบ และจะเห็นเป็นรูปธรรมในวันที่ 9 เดือน 9 ซึ่งพรรคก้าวไกลจะเปิดแผนสู้ศึกเลือกตั้ง เวลาที่เหลือจะเป็นการเปิดตัวผู้สมัคร เปิดนโยบาย เปิดการปรับตัวของพรรค สั่นกลองรบไปเรื่อยๆจนถึงวันที่รบจริง
จุดยืนของพรรคคือการสรรหาฉันทามติใหม่ร่วมกัน ไม่เปลี่ยนไปแบบสุดโต่งและไม่อยู่กับที่ เราต้องการให้ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัติย์เป็นองค์พระประมุข อยู่เหนือประชาธิปไตยแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พรรคก้าวไกลไม่ดูถูกประชาชนกลุ่มใด เรามั่นใจคนรุ่นใหม่แต่ก็ไม่ประมาท ยุคสมัยนี้ไม่มีของตายว่าเอาเสาไฟฟ้าลงก็ยังชนะ หรือคนกลุ่มนี้ยังไงก็เลือกพรรคนี้ไม่มีเปลี่ยน ยุคนี้อะไรก็ลื่นไหลได้ตลอด ถ้าเราทำได้ดีเราก็มั่นใจว่าจะเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นผู้นำที่สามารถจะดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่มาร่วมกันพัฒนาประเทศได้ แต่เราไม่ประมาทที่จะทำให้เขาผิดหวังแล้วหันไปหาพรรคการเมืองอื่น
lการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร
เชื่อว่าการเมืองจะกลายเป็นพรรคใหญ่สองขั้วแข่งกัน ข้อดีคือการเมืองมีเอกภาพมากขึ้นในการทำงาน แต่อาจจะเกิดการหลงลืม ละเลยหลายๆเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาหลักของประชาชน เช่น สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางเพศ เรื่องชาติพันธุ์
ระบบเลือกตั้งใหม่พรรคเล็กๆไปไม่ได้แน่อาจจะต้องควบรวมกับพรรคใหญ่ ส่วนพรรคขนาดกลางก็ยังเป็นทางเลือกของประชาชน
ประชาชนต้องออกมาเลือกตั้งให้มากที่สุดให้เป็นฉันทนามติ ให้เห็นชัดๆเหมือนกับการเลือกผู้ว่าฯกทม. ให้การฟอร์มรัฐบาลได้เกินกว่า 300 เสียง เพื่อจะดูว่า ส.ว.250 เสียงที่จะร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี จะกล้าขัดใจเสียงประชาชนส่วนใหญ่ไหม