02/05/2024

สี จิ้นผิง ในวาระ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน

лªÉçÕÕƬ£¬±±¾©£¬2019Äê10ÔÂ31ÈÕ Öйú¹²²úµ³µÚÊ®¾Å½ìÖÐÑëίԱ»áµÚËÄ´ÎÈ«Ìå»áÒéÔÚ±±¾©¾ÙÐÐ Öйú¹²²úµ³µÚÊ®¾Å½ìÖÐÑëίԱ»áµÚËÄ´ÎÈ«Ìå»áÒ飬ÓÚ2019Äê10ÔÂ28ÈÕÖÁ31ÈÕÔÚ±±¾©¾ÙÐС£ÕâÊÇÏ°½üƽ¡¢Àî¿ËÇ¿¡¢ÀõÕ½Êé¡¢ÍôÑó¡¢Íõ»¦Äþ¡¢ÕÔÀּʡ¢º«ÕýµÈÔÚÖ÷ϯ̨ÉÏ¡£ лªÉç¼ÇÕß ¾ÏÅô Éã

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในฐานะเลขาธิการ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้กล่าวในโอกาสครบรอบ 99 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปี 2020ว่า  “พรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงอนาคตและโชคชะตาของชาวจีนและประเทศจีนเท่านั้น  แต่ยังเปลี่ยนแนวโน้มและรูปแบบการพัฒนาของโลกอย่างลึกซึ้ง”

วันที่ 1 กรกฎาคม 2021 คือวันครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากชาวจีน1,400 ล้านคนจะได้ร่วมเฉลิมฉลองวาระอันยิ่งใหญ่ในรอบศตวรรษแล้ว  ทั้งชาวจีนและคนทั่วโลกคงจะต้องติดตามด้วยว่าประเทศจีนในเส้นทางศตวรรษที่ 2 ของพรรคคอมมิวส์จีน  ภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง จะก้าวเดินต่อไปอย่างไร

 

ผู้สร้าง “ฝันจีน” และทำความฝันให้เป็นจริง

ในเดือนมีนาคม 2013  เมื่อ สี จิ้นผิง ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ประกาศภารกิจหลักของกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่คือ การนำพาสาธารณรัฐประชาชนจีนบรรลุถึง ความฝันของจีน” หรือ “จงกั๋วเมิ่ง” โดยการผลักดันการฟื้นฟูครั้งใหญ่แห่งประชาชาติจีน ได้แก่ การฟื้นฟูประเทศ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สร้างความมั่งคั่ง สรรค์สร้างสังคมที่ดีขึ้น และขยายกำลังกองทัพ พร้อมกับได้ปลุกใจคนหนุ่มสาวให้กล้าที่จะฝัน ทำงานหนักเพื่อที่จะบรรลุฝัน ไปพร้อมๆกับอุทิศตนให้แก่ประเทศชาติ

สี จิ้นผิง ตั้งเป้าหมายในขณะนั้นว่า เมื่อถึงปี 2020 ประเทศจีนจะเป็นสังคมที่ประชาชนมีฐานะพออยู่พอกินอย่างทั่วถึงในวาระครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน   และในปี 2049 จะบรรลุเป้าหมายในการสร้าง “สังคมนิยมสมัยใหม่” ที่มั่งคั่งเข้มแข็ง มีประชาธิปไตย มีอารยธรรมและมีความปรองดองในวาระครบรอบ 100 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

จากเป้าหมายดังกล่าวนำมาสู่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาในอนาคต 30 ปีของจีน (2020-2050) โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วง 15 ปีแรก  2020-23035  มุ่งสู่เป้าหมายในการทำให้จีนก้าวขึ้นเป็น “ประเทศนวัตกรรมชั้นนำของโลก”  15 ปีถัดมา ปี 2035-2050 มุ่งสู่เป้าหมายให้จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย   ด้วยการเสริมสร้างพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

 

ปฏิรูปเศรษฐกิจเน้นแก้จน  ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

ปีที่แล้ว 2020 ถือเป็นปีที่มีความหมายสำคัญ  เป็นปีที่จีนตั้งเป้าจะต้องหลุดพ้นความยากจนอย่างสิ้นเชิงตามแผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 13 ของจีน (2016-2020) ซึ่ง 1 ใน 3 เรื่องที่ต้องเอาชนะคือ “การขจัดความยากจนอย่างตรงจุดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” ซึ่งจีนก็ทำได้สำเร็จ

โดยสี จิ้นผิง กล่าวว่า “เป็นปาฎิหาริย์ที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์

           เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสี จิ้นผิง เข้าร่วมการประชุมใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเชิดชูความสำเร็จด้านการบรรเทาความยากจนและมอบรางวัลต้นแบบการต่อสู้กับความยากจนของประเทศ  เขาได้ประกาศ ชัยชนะโดยสมบูรณ์”ในการต่อสู้กับความยากจน

ช่วง 8 ปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ช่วยเหลือชาวชนบทที่อยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจนให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ถึง 98.99 ล้านคน โดยมี 128,000 หมู่บ้าน และ 832 อำเภอ ได้รับการปลดออกจากบัญชีพื้นที่ยากไร้

ในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาที่จีนเริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดประเทศ  สามารถลดจำนวนคนยากจนลงได้มากกว่า 850 ล้านคน  ในปี 1972 มีคนยากจนในชนบท 770 ล้านคน  อัตราความยากจน 97.5%  ถึงปี 2018 คนยากจนในชนบทลดเหลือ 16.6 ล้านคน  อัตราความยากจนเหลือ 1.7%

ในการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  มีการประกาศเป้าหมายผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2021ไว้ว่าจะสูงกว่า 6%  และเป้าหมายสร้างตำแหน่งงานในพื้นที่เมืองเพิ่มมากกว่า 11 ล้านอัตรา

นักวิชาการบางคนประเมินว่าจีนจะกลับมาเติบโตปีละ 6 – 8% ต่อเนื่องในระยะ 10 ปีข้างหน้า  และขนาดเศรษฐกิจของจีนจะแซงอเมริกาสำเร็จอย่างชัดเจนภายใน 5 ปีนับจากนี้

สี จิ้นผิง กล่าวในหลายเวทีว่า จีนจะเปิดศักราชใหม่แห่งการสร้างประเทศสังคมนิยมแบบทันสมัยอย่างรอบด้าน จีนจะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาใหม่ เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเรียกร้องใหม่

 

รณรงค์ปราบการทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจังต่อเนื่อง

รัฐบาลทั่วโลกมีนโยบายแก้ไขปัญหาและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งเป็นเนื้อร้ายบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง  แต่ส่วนใหญ่ก็ทำแบบลูบหน้าปะจมูกเพราะการทุจริตคอรัปชั่นนั้นทำเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงจากนักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมืองระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ  จากนอกสภาถึงในสภาและคณะรัฐบาล

แต่นับจาก สี จิ้นผิง ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนก็มีนโยบายปราบคอรัปชั่นให้สิ้น  สีกล่าวในวันแรกว่า  “พรรคของเราเผชิญปัญหาร้ายแรงจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนโดยเฉพาะปัญหาคอรัปชัน ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างมาก

เป้าหมายสูงสุดที่สี จิ้นผิง ตั้งไว้คือ จีนเป็นประเทศที่ “ไม่มีใครกล้าโกง

มาตรการที่ใช้คือพุ่งเป้าโดยตรงไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรรัฐวิสาหกิจ และผู้นำในกองทัพ โดยมีการอายัดทรัพย์สินตั้งแต่สินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย รายได้จากการเล่นพนันหรือไม่มีที่มา   ติดตามตรวจสอบทรัพย์สินที่โอนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกนอกประเทศโดยเฉพาะที่ฮ่องกงและมาเก๊า

เราต้องทำให้ข้าราชการไม่กล้า ไม่สามารถ และไม่อยากที่จะโกง

สี จิ้นผิง ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็งในกระบวนการตรวจสอบ โดยเฉพาะการทําหน้าที่ของสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินจีน (China National Audit Office : CNAO)  ที่พยายามพัฒนา เทคนิค วิธีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเพิ่มอํานาจให้กับ คณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย (Central Commission for Discipline Inspection : CCDI ) เพื่อให้ทํางานได้อย่างรวดเร็วและ เด็ดขาด  ซึ่งผลในการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นสร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนในวงกว้าง

 

นโยบายต่างประเทศเชิงรุก  ปลุกจิตวิญญาณจีนที่ยิ่งใหญ่

          วันนี้โลกกลับตาลปัตร  มหาอำนาจที่เคยสร้างกฎการค้าเสรีกลับฉีกกฎตัวเองแล้วทำตัวเป็น“ขี้แพ้ชวนตี” เพราะทำการค้าเสรีแล้วขาดทุนสู้นานาชาติไม่ได้กลับมาตั้งกำแพงภาษี  ก่อสงครามการค้า  สงครามเทคโนโลยี และสงครามการเงิน

สาธารณรัฐประชาชนจีนที่ถูกป้ายสีแดงว่าเป็นเผด็จการสังคมนิยม  กลับกลายเป็นผู้นำการค้าเสรีและผู้สร้างโลกใบใหม่  จากการที่ สี จิ้นผิง ริเริ่มโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative : BRI) ตั้งแต่ปี 2013  หรือโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ที่เป็นความร่วมมือนานาชาติเพื่อพัฒนาการขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลที่เชื่อมโยงโลกเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ

ในยามที่ถูกมหาอำนาจใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกากดดัน สี จิ้นผิง ก็แสดงความเป็นผู้นำที่กล้าเผชิญหน้าแลกหมัดทำสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา  สู้กับนโยบาย America First ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งวันนี้หมดวาระไปแล้ว  และเปลี่ยนมาเผชิญกับนโยบาย  Buy American ของโจ ไบเดน ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯซึ่งแสดงท่าทีแล้วว่าจะรักษาสงครามการค้าต่อไป

 

โควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาส  วัคซีนเพื่อมวลมนุษยชาติ

เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ใหม่ๆ  ประธานาธิบดีทรัมป์ เอ่ยปากเรียกหลายครั้งในเชิงเหยียดหยามและถากถางว่า ไวรัสจีน (Chinese Virus) พร้อมกับการใส่สีตีไข่ว่าเชื้อไวรัสหลุดรอดออกมาจากแล็ปในเมืองอู่ฮั่น  จนกลายเป็นกระแสสร้างความเกลียดชังคนจีนในอเมริกาและอีกหลายพื้นที่ทางโลกตะวันตก

สี จิ้นผิง ไม่เพียงแต่จะกล้าตัดสินใจใช้มาตรการเด็ดขาด รวดเร็วและทุ่มเทสรรพกำลังในการควบคุมการแพร่ระบาด  ตลอดจนเร่งการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายในประเทศ  ซึ่งทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น  แต่ยังประกาศในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) ครั้งที่ 73 ในเดือนพฤษภาคม 2020 ว่า เมื่อจีนสำเร็จในการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19และประยุกต์ใช้ในจีนแล้ว วัคซีนดังกล่าวจะเป็นสินค้าสาธารณะทั่วโลก (International Public Product)

         “ จีนยินดีที่จะช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงในการใช้วัคซีนและใช้จ่ายรับซื้อได้ นอกจากนั้นจีนพร้อมที่จะจัดเงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่นานาประเทศภายใน 2 ปี เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนานั้น รับมือต่อสู้โควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาสังคม”สีกล่าว

เทียบกับการที่สหรัฐฯกักตุนวัคซีนและยืนกรานจะฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกันครบทุกคนก่อน จึงจะแบ่งปันวัคซีนให้ประเทศอื่นนั้น  กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่ใส่ใจหลักศีลธรรมและตรรกะ ความคิดเช่นนี้ไม่สามารถเป็นผู้นำโลกในศตวรรษที่ 21 ได้

 

ไร้วาระ ภาระที่ไม่รู้จบ

แต่เดิมนั้นรัฐธรรมนูญของจีนกำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย วาระละ 5 ปี ซึ่งวาระของสี จิ้นผิง ในสมัยที่ 2 จะสิ้นสุดหน้าที่ในปี 2023 แต่รัฐธรรมนูญที่แก้ไขแล้วเปิดโอกาสให้สี จิ้นผิง “อยู่ยาว”แบบไร้วาระ  ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการให้โอกาสกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินการในหลายด้าน เช่น สะสางปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ และวางแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว

ในช่วงแรกๆของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าย้อนแย้งกับสิ่งที่ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ผู้นำรุ่นที่ 2 สั่งเอาไว้  แต่เสียงตอบรับของประชาชนประกอบกับทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  และสถานการณ์โลกที่พลิกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว  ให้คำตอบว่าจีนต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง วิสัยทัศน์กว้างไกล  ทันเกม ทันโลก  มีความต่อเนื่องกับการเมืองระหว่างประเทศ

พิสูจน์แล้วว่า 4 ปีที่ปะทะกับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นสมน้ำสมเนื้อ  จากนี้อีก 4 ปีจีนไม่ได้อยู่ในยุคของโจ ไบเดน  แต่ในทางกลับกัน โจ ไบเดน ผู้นำของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในศตวรรษที่ 2 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีเลขาธิการพรรคชื่อ สี จิ้นผิง ผู้มุ่งมั่นนำพาจีนสู่สังคมนิยมทันสมัยที่โลกประชาธิปไตยต้องแอบอิจฉา

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *