หวังอะไร?…ประเทศไทยในปี 2022
หนังสือพิมพ์บางกอก ทูเดย์ ร่วมกับ คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ The Leader Asia จัดการสัมมนาเรื่อง “ ศักราชใหม่…ความหวัง(หรือแค่ฝัน)ประเทศไทย 2022” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ณ อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีการเสวนา หัวข้อ “หวังอะไร?…ประเทศไทยในปี 2022” ซึ่งมีเนื้อหาสรุปดังต่อไปนี้
นายแพทย์เกรียงไกร ถวิลไพร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง
อายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
การระบาดของเชื้อโอไมครอน พบว่าคนทั่วไปจะติดเชื้อได้มากขึ้น อายุผู้ป่วยน้อยลง โรคประจำตัวน้อยลง เมื่อดูอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของเชื้อโอไมครอน มีอัตรา 2.7% เมื่อเทียบกับเดลตาเกือบ 30% ดูอัตราการใช้อ๊อกซิเจนเมื่อติดโอไมครอน 17.4 % เมื่อเทียบกับเดลตา 74% อัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจก็น้อยกว่า จาก12.4% เหลือเพียง 1.6% อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตุว่าช่วงที่โอไมครอนระบาด ได้มีการฉีดวัคซีนกันมากขึ้นแล้ว
จากข้อมูลต่างๆแนวโน้มเชื้อโอไมครอนน่าจะมีความรุนแรงน้อยลง แต่ที่ดูเหมือนจะมีปัญหาคือมันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ดีขึ้น เทียบกับช่วงแรกของการระบาดที่เมืองอูฮั่น ผู้ป่วย 1 คนแพร่เชื้อได้ประมาณ 3 คน ช่วงเดลตาประมาณ เพิ่มเป็น 1 ต่อ 7คน ช่วงโอไมครอนมีการคำนวณว่าประมาณ 2-4 เท่าของเดลตา ทำให้การระบาดเป็นวงกว้างแต่จะไม่รุนแรง
ถามว่าวัคซีนยังใช้ได้ผลอยู่หรือเปล่า รุ่นเดิมยังจับกับโอไมครอนได้ไม่ดี การฉีดเข็ม3หรือ4 น่าจะช่วยได้ วันนี้ไทยฉีดวัคซีนได้ประมาณ70%ของประชากร เป็นระดับกลางๆของโลก ถ้ารักษาได้ระดับนี้อีกไม่กี่เดือนสถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่านี้มาก
กรณีที่องค์การอนามัยโลกคาดว่าโควิด-19 มีโอกาสจบลงได้ในกลางปี 2565 นั้น มีความเห็นว่าสุดท้ายแล้วจะเหมือนไข้หวัดใหญ่คือไม่น่าจะหมดไปจากโลกนี้ จะเป็นเหมือนไวรัสที่ระบาดอยู่แล้ว 4 สายพันธุ์ที่มีอาการแบบไข้หวัดใหญ่ แล้วโควิด-19 จะกลายเป็นตัวที่ 5 โดยคนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันแล้ว ส่วนประเทศไทยนั้นน่าจะควบคุมได้เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของไทยทำได้ค่อนข้างดีมากซึ่งช่วยให้อัตราการเสียชีวิตต่ำ ขณะที่บางประเทศยังฉีดวัคซีนได้น้อยมากไม่ถึง 10% ดังนั้นแม้โอไมครอนจะไม่รุนแรงแต่อัตราการเสียชีวิตอาจจะสูงหากติดเชื้อกันมากๆ
อย่างไรก็ตามการที่ทั่วโลกฉีดวัคซีนได้ไม่เท่าเทียมกัน โอกาสที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์กลับมาร้ายแรงอย่างเดลตาก็ยังเป็นไปได้ จึงมีการเรียกร้องให้กลุ่มประเทศที่มีวัคซีนในมือมากๆ ช่วยกระจายไปยังกลุ่มประเทศที่ยังได้รับวัคซีนน้อย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นแหล่งรั้งโรค
ดร.สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค
ธนาคารแห่งประเทศไทย
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างรุนแรงในรอบกว่า 20 ปี รองจากเหตุการณ์ปี 2540 เนื่องจากไทยพึงพานักท่องเที่ยวสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย แม้ตัวเลขจีดีพีจะไม่แย่เท่าปี2540 แต่ผลกระทบประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กในวงกว้าง
ที่ผ่านมาการประสานนโยบายการเงินการคลังมีความจำเป็น หากไม่มีนโยบายการคลัง จีพีดีปี 2563 ที่ติดลบ 6.1% อาจจะติดลบมากถึง 9% หรือจีดีพีปี 2564 ที่โตเกือบ 1% นั้นหากไม่มีนโยบายการคลังเข้ามาช่วยก็อาจจะติดลบเกือบ 5%
นโยบายการเงินพยายามดูแลให้ดอกเบี้ยต่ำ ด้านสินเชื่อโตได้ค่อนข้างดีปีที่แล้ว 5-6% ในปี 2565 ยังไงจีดีพีก็จะเติบโตมากกว่าเดิม ก่อนที่โอไมครอนจะมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการณ์ไว้ที่ประมาณ 3.9% แต่เมื่อโอไมครอนมาจริงคณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินใหม่ในเดือนธันวาคม 2564 ว่าน่าจะเหลือ 3.4% โดยขึ้นอยู่กับสมมติฐานว่าจะสามารถควบคุมโอไมครอนได้ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ มีไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ก็จะกระทบนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในช่วงครึ่งปีหลัง
อีกตัวที่อาจจะเปลี่ยนไปจากปี2564คือแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจะเปลี่ยนจากการส่งออกและการใช้จ่ายของภาครัฐ เป็นการใช้จ่ายของเอกชนและการท่องเที่ยวมากขึ้น ความจริงการส่งออกและภาคการคลังยังโตได้อยู่ แต่แรงพยุงเศรษฐกิจจะน้อยหลังจากได้เร่งไปก่อนหน้า การส่งออกปีที่แล้วช่วยได้6.6% ปีนี้ไม่ถึง2% ปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นด้วยแรงส่งจากนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมา 50% ของยอดนักท่องเที่ยวก่อนเกิดโควิด-19
ปีนี้จีดีพีไทยดีขึ้นชัดเจน แต่ไทยมาช้ากว่าประเทศอื่นเพราะไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างมากจึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 3 ปี ช้ากว่าประเทศอื่นประมาณ 1 ปี ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยจึงอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก
ความท้าทายของไทยมีอยู่หลายประเด็น อาทิความไม่ทั่วถึงของการฟื้นตัวในภาคธุรกิจและแรงงาน กล่าวคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เช่น อีเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่องและเกินกว่าระดับเดิมก่อนเกิดโควิด-19 แต่กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้า เช่น โรงแรม การขนส่งผู้โดยสาร ฯลฯ คาดว่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ถึงแม้จีดีพีปี 2566 จะกลับมาเท่าเดิมแล้ว แต่บางกิจกรรมยังไม่สามารถกลับมาได้ ซึ่งสะท้อนไปยังเรื่องของตลาดแรงงาน โดยภาคการผลิตฟื้นตัวเร็วแต่จ้างงานเพียงแค่ 8% ประโยชน์จึงอยู่กับคนจำนวนน้อย เทียบกับแรงงานในภาคบริการซึ่งมีสัดส่วน 52% จึงมีผลให้แรงงานนอกภาคการเกษตรยังฟื้นตัวช้าและไม่สามารถกลับไประดับเดิมก่อนเกิดโควิดได้เร็ว
ปี2565แม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นมาบ้าง แต่รายได้ของแรงงานยังน้อยกว่าปีก่อนเกิดโควิด 15% โดยเฉพาะลูกจ้างภาคบริการ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ มีการจ้างพนักงานรายวันแทนพนักงานประจำมากขึ้น กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม สัดส่วนลูกจ้างรายวันเพิ่มขึ้นจาก 11% ก่อนเกิดโควิด ตอนนี้เป็น18% รายได้เฉลี่ยก็ลดลงเกือบ 10%
โจทย์ของปีนี้ภาพใหญ่คือดูแลเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องไม่สะดุด มองย่อลงมาต้องช่วยเหลือกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้าให้กลับมาได้เร็วที่สุด ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลให้ภาวะการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำที่สุด 0.5% ติดต่อกันมาเกือบสองปี อัตราแลกเปลี่ยนปี 2564 อ่อนค่าประมาณ10% รวมถึงการใช้มาตรการทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ช่วยการปรับโครงสร้างหนี้
จุดที่ต้องให้ความสำคัญคือรายได้ที่ยังไม่กลับมา ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศณษฐกิจต่อเนื่อง การใช้เงินให้ตรงจุด และการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในภาพเศรษฐกิจโดยรวมมีผลกระทบบ้างต่อการฟื้นตัว แต่โอกาสที่เศรษฐกิจจะสะดุดเพราะเงินเฟ้อคงมีไม่มาก ผลกระทบจากโอไมครอนยังมีมากกว่า ต้องยอมรับว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นการซ้ำเติมประชาชนกลุ่มที่เปราะบาง กลุ่มที่ฟื้นตัวช้า
ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ที่ 1.7% ปี 2566 อยู่ที่ 1.4% สถานการณ์ในปี 2565 เงินเฟ้อคงจะปรับขึ้นสูงสุดภายในครึ่งปีแรกแล้วจะค่อยๆปรับลดลง
ในช่วงครึ่งหลังของปีตามทิศทางพลังงานและปัญหาด้านอุปทานที่เริ่มคลี่คลายลง แต่ความเสี่ยงก็ยังมีมากพอสมควรหากการระบาดของโอไมครอนรุนแรงมากขึ้นจนกระทบการผลิตและการขนส่ง หากต้นทุนด้านพลังงานต่างๆเพิ่มมากขึ้น หากความเสี่ยงเหล่านี้มาพร้อมๆกันอาจจะทำให้การส่งผ่านไปที่ราคามีมากกว่าที่คาด อาจจะทำให้เกิดการปรับราคาในวงกว้าง หรืออาจจะทำให้มีการปรับค่าจ้าง ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เกิดSecond Round Effects ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจน เพราะสินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับราคาในวงกว้าง
อย่างไรก็ดีเรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาด จำเป็นต้องมีการจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ปัญหาเรื่องอุปทานต้องใช้เวลาในการคลี่คลายซึ่งน่าจะชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี
นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ท่านผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คุณวิทัย รัตนากร มาด้วยแนวคิดธนาคารเพื่อสังคม ซึ่ง
เมื่อเกิดโรคระบาดและส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงเป็นแนวคิดที่ถูกทางพอดี โดยธนาคารออมสินได้ทำเรื่องหลักๆอยู่ 4 เรื่อง
1.ผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้เอสเอ็มอีและประชาชนฐานรากขาดสภาพคล่อง เพราะรายได้น้อยลง หรือขาดหายไปไม่เหมือนเดิม แต่รายจ่ายยังมีอยู่และเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เพราะสถาบันการเงินมีเกณฑ์ปกติในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในช่วงวิกฤตินั้นใช้ไม่ได้ ธนาคารออมสินจึงช่วยเติมสภาพคล่องโดยไม่ใช้เกณฑ์ปกติ
ในปี 2563-2564 ได้สนับสนุนการให้สินเชื่อไป 2.3 แสนล้านบาท รวม 3.83 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้หากในยามปกติจะมีถึง 2.62 ล้านรายที่กู้ไม่ได้เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ปกติของธนาคาร ในจำนวนสินเชื่อที่สนับสนุนไปนี้เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 1.8 แสนล้านบาท แบ่งเป็นซอฟท์โลนในปี 2563 จำนวน 1.42 แสนล้านบาท และปี 2564 อีก 3.8 หมื่นล้านบาท
2.ปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากการไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ หรือในระบบที่ไม่ใช่ธนาคาร ทางออมสินได้เข้าสู่ตลาดจำนำทะเบียนรถโดยเริ่มจากรถจักรยานยนต์ ในอดีตดอกเบี้ยตัวนี้สูงถึง 28% ต่อปี ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยให้ลดลงเหลือ 24%ต่อปี ธนาคารออมสินร่วมกับบริษัทศรีสวัสดิ์ตั้งบริษัทเงินสดทันใจ ให้บริการผู้ขอกู้ใหม่หรือรีไฟแนนซ์ในอัตราดอกเบี้ย 0.49% ต่อเดือน หรือ 11%ต่อปี เพื่อลดภาระดอกเบี้ยแก่ประชาชน ส่งผลให้ตลาดกลุ่มนี้ที่มีลูกค้าประมาณ 3.5 ล้านราย ปี 2564 เงินสดทันใจปล่อยสินเชื่อได้ 6 แสนราย วงเงินรวม 1.2 หมื่นล้านบาท
3.ปัญหาความไม่สามารถชำระหนี้และเกรงว่าจะเสียประวัติในเครดิตบูโร และอาจจะถูกฟ้องยึดทรัพย์ ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการบรรเทาภาระหนี้ เช่นพักชำระหนี้ระยะยาวไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 9 เดือนในปี 2563 และ 6 เดือนในปี 2564 โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังที่อนุมัติให้ดำเนินการได้ มีผู้เข้ามาตรการนี้ 3.82 ล้านราย รวมวงเงิน 1.6 ล้านล้านบาท
4.ปัญหาลูกจ้างที่ตกงาน กลับบ้านโดยไม่มีทักษะอาชีพ ไม่มีรายได้ ธนาคารออมสินได้นำเรื่องสร้างงาน สร้างอาชีพ ที่ทำอยู่แล้วมามุ่งเน้นเต็มที่ตั้งแต่ปลายปี 2564 ต่อเนื่องมายังปี 2565 เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ มีเป้าหมายจะสร้างไมโคร เอสเอ็มอี และเอสเอ็มอีชุมชน มีสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ผ่อนชำระนาน 5 ปี
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
ความหวังของเศรษฐกิจไทยปีนี้ขอแค่ให้กลับไปเดินหน้าได้ใกล้เคียงกับก่อนจะเกิด โควิด-19 หวังให้การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศกลับไปใกล้เคียงภาวะปกติ อีกประการคือหวังให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามา เพราะสองปีก่อนจีดีพีไทยติดลบไป 6% ปีที่แล้วฟื้นกลับมาแค่ 1% แสดงว่าจีดีพีไทยยังต่ำกว่าเกิดโควิด-19 ถึง 5%
ในกลุ่มอาเซียนนี้มีเพียงประเทศเดียวที่แย่กว่าไทยคือฟิลิปปินส์ ขณะที่หลายประเทศชั้นนำในโลกเขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจนดีกว่าเดิม จนเจอปัญหาใหม่ว่าเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป อาทิ สหรัฐอเมริกาที่จีดีพีอยู่ที่ 7% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1982 อังกฤษเงินเฟ้อ 5.4% สูงสุดนับแต่ปี 1992 เงินเฟ้อในยุโรปก็ค่อนข้างสูงมากจนหลายๆที่เริ่มแตะเบรกเพราะเศรษฐกิจร้อนแรง มีปัญหาเรื่องดีมานด์ ที่ฟื้นเร็วกว่าการผลิตสินค้าหลายๆชนิด เพราะโลกยุคนี้เชื่อมโยงกันไปหมด พอเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่เท่ากัน ของที่ผลิตกลับมาไม่เท่ากันมีผลให้สินค้าบางอย่างปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเงินเฟ้อสูง
การอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางที่ผ่านมาก่อนเกิดโควิด-19 ทำอย่างไม่จำกัดจนอัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ทำQEไปเรื่อยๆ อัดฉีดสภาพคล่องไปเรื่อยๆ วันนี้เงินเฟ้อเกินเป้าหมายของเขา เพราะธนาคารกลางส่วนใหญ่ให้เงินเฟ้อแค่ 2% ก็พอแล้ว แต่วันนี้เงินเฟ้อ5-7% และอาจจะยังไม่มีทีท่าจะลดลงเพราะมีประเด็นเรื่องซัพพลาย เรื่องราคาน้ำมันที่ขึ้นไปถึง 87 เหรียญต่อบาเรลล์ รัสเซียอาจจะรบกับยูเครน กบฏในเยเมนยิงยูเออี กลายเป็นมีความเสี่ยงที่มากดดันเงินเฟ้อพร้อมๆกัน ความจำเป็นในการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางจึงมีน้อยลง
วันนี้เขากำลังพูดถึงการถอนสภาพคล่อง กำลังดึงQE ออก นโยบายการเงิน ดอกเบี้ยจะค่อยๆขยับขึ้น แปลว่าคนอื่นที่เขาเริ่มรู้สึกว่าเศรษฐกิจเขาฟื้นแล้วจนร้อนแรง เขากำลังจะเลิกงานปาร์ตี้กลับไปล้างจานกันแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยเรายังไม่ฟื้นเลย ในขณะที่เราต้องจ่ายน้ำมันราคาเดียวกับเขา กำลังจะเจอสถานการณ์ที่สภาพคล่องกำลังจะหดพร้อมกับเขา เรากำลังจะเจอต้นทุนทางการเงินที่แพงขึ้นพร้อมกับเขา
สภาพการเงินโลกที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญคือ การถอนการกระตุ้นหนักๆและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมาสภาพคล่องที่มีอยู่มากมายทำให้มั่นใจกันว่าโลกจะไม่มีวิกฤติทางการเงิน ตรงนี้ไปผลักดันให้ราคาสินทรัพย์แพงขึ้นทั่วโลก สินทรัพย์เกือบทุกชนิดเมื่อสองเดือนก่อน All time high เกือบทุกอย่าง ราคาหุ้นในสหรัฐ ยุโรปและอีกหลายประเทศอยู่ในระดับที่สูงที่สุด ราคาบ้านในสหรัฐตอนนี้สูงกว่าปี 2008 ซึ่งถือเป็นยุคฟองสบู่มากกว่า 40%
สิ่งที่เป็นความท้าทายคือ ภาพกำลังจะเปลี่ยนในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อาจจะเห็นความผันผวนของค่าเงินบาทพอสมควร ในขณะที่เรารอกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต
กรณีของภูเก็ตโมเดล หรือภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์น่าจะนำมาถอดบทเรียนเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างจริงจัง เพราะภูเก็ตถูกปิดเกาะก่อนกรุงเทพฯตั้งแต่มีนาคม 2563 นักท่องเที่ยวหายยาวไปจนถึงสิ้นปี เศรษฐกิจภูเก็ตมูลค่า 4 แสนกว่าล้านเหลือค้างท่ออยู่แค่แสนล้านในปี 2563 เป็นการ Disrupt ตัวเองอย่างรุนแรง
ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มีที่มาจากการที่ปี 2563 เป็นศูนย์ แล้วภาคเอกชนรวมกันคิดว่าจะทำอย่างไรในปี 2564 พูดคุยผ่านไปยังสภาพัฒนาจนถึงรัฐบาล ตอนแรกทางภูเก็ตอยากจะเปิดวันที่ 1 ตุลาคม แต่ฝ่ายรัฐบาลกลับต้องการเร่งให้เปิดตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ฝ่ายเราขอเงื่อนไขเดียวคือฉีดวัคซีนให้คนภูเก็ตให้ทันก่อนเปิดเกาะได้ไหม จึงเกิดการบุกตะลุยฉีดวัคซีนอย่างเข้มข้นเป็นกลุ่มแรกของประเทศไทย โดยเรื่องซอฟท์แวร์นั้นทีมเอกชนภูเก็ตลงทุนให้กับทางราชการทุกอย่าง ถือเป็น Key Success ที่น่าจะนำมาถอดบทเรียน โปรแกรม “ภูเก็ตต้องชนะ”ที่ใช้บริหารการฉีดวัคซีนเป็นผลงานของภาคเอกชนที่ดำเนินการเองทั้งหมด
Key Success ของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์คือความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน มีผลให้การทำงานแตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ เพราะภาคเอกชนภูเก็ตแข็งแกร่ง ภาคราชการรับฟัง หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้แสดงฝีมือ การฉีดวัคซีนในจังหวัดภูเก็ตเป็นการบริหารของภาคเอกชน หากเป็นจังหวัดอื่นส่วนราชการคงไม่ยอม
อีกประการหนึ่งของความสำเร็จที่ต่อเนื่องมาถึงวันนี้คือการตรึงกำลังในการตรวจผู้ที่เข้าประเทศทางจังหวัดภูเก็ตอย่างเข้มข้น โดยตรวจ100% ที่สนามบิน ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน
หากจะดึงการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมา เราควรจะถอดบทเรียนความสำเร็จของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และเอาไปใช้ในเรื่องซอฟท์แวร์เดียวกัน การทำงานเหมือนกัน ในเรื่องการบริหารจัดการที่อย่าต่างคนต่างทำ ถ้าจะปลุกให้การท่องเที่ยวรอด และจีดีพีขึ้นมาอีกครั้ง ต้องให้หัวเมืองทุกเมืองเอาบทเรียนของภูเก็ตไปใช้
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย กระทรวงสาธารณสุขที่เคยฉาย 3 ฉากทัศน์ด้านการระบาดของโควิด-19 แต่ไม่เกิดขึ้นเลยแม้สักฉากทัศน์เดียว คือการติดเชื้อวันละ 1-3 หมื่นคน
ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.6 – 4.5% เราคิดในเชิงกึ่งบวกว่าถ้าเราอัดฉีดเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาทเข้าไปในระบบ เศรษฐกิจก็ควรจะโตได้ประมาณ 0.7% เป็นอย่างน้อย เอานโยบายคนละครึ่งและช็อปดีมีคืนใส่เข้าไป 1.3 แสนล้านบาท บังเอิญเป็นการใส่เข้าไปหลังจากเกิดโอไมครอน และปิดระบบ Test & Go แล้วกลับมาตั้งหลักตั้งฉากใหม่ ก็ยังดีที่จะกลับมาเปิดระบบ Test & Go ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ดังนั้นฉากทัศน์ต่างๆได้ถูกเปลี่ยนจากเดิมที่มองว่าสถานการณ์โควิดยังอยู่ซึ่งเราก็คิดว่ายังอยู่ แต่สมมติฐานตอนนั้นเรามองว่าเศรษฐกิจน่าจะโต 3.6-4.5% และเศรษฐกิจไทยน่าจะโต 4.2% มันเป็นความท้าทายที่น่าจะทำได้พร้อมๆกับแนวนโยบายอัดฉีดเงินเป็นแสนล้านบาทในครึ่งปีแรก การใช้งบประมาณขาดดุล 7 แสนล้านบาท และยังมีภาพของการให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอยู่ในเมืองไทยได้ 5-10 ปี ภายใน 5 ปีจะมีพนักงานชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทย ประมาณ 1 ล้านคน จะมีเงินหมุนเข้ามาประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปีซึ่งจะดันเศรษฐกิจให้ทะยานอย่างน้อย 5 % แน่นอน
ที่เรามองบวกเพราะโลกฟื้นจากโอไมครอน จีนก็ฟื้น อาเซียนก็ฟื้น ไอเอ็มเอฟมองว่าปี 2564 อาเซียนโตประมาณ 3% ปี 2565 อาเซียนจะโตประมาณ 5%กว่า ดังนั้นประเทศไทยที่ทำการส่งออกกับอาเซียนเป็นสำคัญ อินเดียก็โตเกือบ 9% มันมีตรรกะ นัยยะที่ทำให้การส่งออกควรจะขยายตัวเกินกว่า 5% ที่น่าจะทำได้ และถ้าระบบTest & Go เปิด เราคาดหวังนักท่องเที่ยว 5-6 ล้านคน แต่ถ้าทำดีๆนักท่องเที่ยวอาจจะถีบตัวขึ้นมาถึง 10 ล้านคน อย่างนี้เศรษฐกิจควรจะฟื้นตัว
แต่ในเวลาเดียวกันเศรษฐกิจไทยก็ยังมีความเปราะบาง เพราะค่าระวางขนส่งสินค้ายังไงก็ยังแพงจนถึงไตรมาสที่2 เราเคยคิดว่าราคาน้ำมันไม่ควรเกิน 85 ดอลลาร์ต่อบาเรล แต่ตอนนี้ได้ขึ้นไปทดสอบ 90 ดอลลาร์ต่อบาเรล พอค่าระวางขนส่งสินค้าแพง ค่าโสหุ้ยต่างๆจะแพงเป็นเงาตามตัว ภาคเอกชนเคยเตือนรัฐบาลแล้วว่าสินค้าจะราคาแพง แต่ที่คาดไม่ถึงคือ “หมูแพง” ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ต้องคุมราคาไก่ ไข่ไก่ แล้วบอกภาคเอกชนว่าอย่าขึ้นราคาสินค้า แล้วรัฐบาลก็กลับมาคิดว่าจะลดภาษีสรรพสามิตเพื่อตรึงราคาน้ำมันไม่ให้กระทบค่าขนส่งและเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ย นี่คือ “เปราะ” และ “บาง” พอสมควร ที่จะกระเทือนต่อคนไทยและผู้ประกอบการที่ NPL(หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ยังมีปัญหา ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้เมื่อปลายปีที่แล้วจะต้องกลับมาเจอสถานการณ์ของการฟื้นตัวที่ยังมีความเสี่ยงของโควิด และสถานการณ์ของแรงกดดันที่ต้นทุนเริ่มสูงขึ้น
เรารู้ว่าตอนนี้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น คาดว่าจะทะลุ 90% ต่อจีดีพี โดยเราคาดว่าจะขึ้นสูงสุด 94% ต่อจีดีพีในช่วงกลางปีนี้ เมื่อไปผสมผสานกับปัญหาของแพงของขาด นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าเปราะบาง คือพร้อมจะทรุดลงมาได้ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าหลังจากมกราคมสถานการณ์น่าจะคลาย ระบบ Test & Go กลับมาใช้ 1 กุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวจะค่อยๆกลับมา เราหวังว่าไตรมาส2 น่าจะฟื้น ครึ่งปีหลังจะดีขึ้นรองรับการประชุม APEC 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
กระนั้นก็ตามยังมีความเสี่ยงใหม่เกิดขึ้นเมื่อพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลมีอาการ “ปริ” พรรคการเมืองสร้างใหม่เปิดตัวเยอะมาก เป็นภาพของความเปราะบางทางการเมืองซึ่งอาจจะเปลี่ยนทิศทางหรือเปล่า เศรษฐกิจไทยนั้นพร้อมจะฟื้นตัวแต่อาจจะมีอะไรที่ทำให้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย