คอลัมน์ Booklizm by Krit
1.เรื่อง : จนตรอก
ผู้เขียน : ชาติ กอบจิตติ
สำนักพิมพ์ : คนวรรณกรรม
ชีวิตของชายชรานั้นเหมือนกับผ้าสีสวยผืนหนึ่ง ที่มีคนนำไปตัดเสื้อ และเมื่อมันเปื่อยขาดเพราะใช้งาน เสื้อตัวนั้นก็เริ่มลดค่าลง กลายเป็นผ้าขี้ริ้วขาดวิ่น นานไปยิ่งสกปรก นานไปยิ่งหาค่าไม่ได้ ชีวิตแกเป็นเช่นผ้าขี้ริ้วสกปรกผืนที่กล่าวนี้
… ชีวิตที่เงียบเหงา อ่อนโรย ไร้ค่า…
“จนตรอก” นวนิยายเรื่องแรกของ ชาติ กอบจิตติ นักเขียนรางวัลซีไรต์ เขาได้นำชีวิตในแง่มุมหนึ่งออกมาแสดงให้เห็นประจักษ์เป็นแง่มุมของชีวิตที่วรรณกรรมมักจะละเลยเสียเป็นส่วนมาก เพราะเป็น… ชีวิตที่เงียบเหงา อ่อนโรยไร้ค่า… เผชิญกับชะตากรรมที่บางอย่างเขาต่อสู้ไม่ไหว เอาชนะไม่ได้ ถ้ามองลึกลงไปมันเป็นความสะเทือนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลจำนวนหนึ่งที่อยู่ชายขอบสังคม เผชิญชะตากรรมไปอย่างเงียบ ๆ ดิ้นรนอยู่ในตาข่ายที่ครอบคลุมชีวิตของพวกเขาอย่างไม่มีทางจะหลุดรอดออกไปได้ และนั่นคือความเป็นจริงที่น่าจะได้รับรู้กันไว้ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลตัวของคนที่อยู่ในฐานะอื่นอีกมากก็ตาม… เปรียบเช่นสังกะสีผุ ๆ ถูกรื้อร่อนโยนลงมาบนพื้น.. มองดูเหมือนพวกเขาเหล่านั้นพร้อมรื้อเก็บฉากละครที่พร้อมจะเลิกเล่นแล้ว…!!!
2.เรื่อง : งู
นักเขียน : วิมล ไทรนิ่มนวล
สำนักพิมพ์ : ทานตะวัน
“งู” ผลงานนักเขียนรางวัลซีไรต์ แม้ว่าจากชื่อจะเป็นในท่วงทำนองนิยายเชิงสัญญลักษณ์เป็นรูปแบบและการดำเนินเรื่องกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่ามันคือผลงานในแบบพื้นบ้านพื้นเมืองของยุคสมัยนี้ที่สมบูรณ์ที่สุด
นอกจากเหตุการณ์ในเรื่อง ตัวละครในเรื่องและฉากทุกฉากในเรื่องจะเป็นท้องถิ่นที่เรียกกันว่า ท้องทุ่งท้องนา ชาวชนบทของไทยภาคกลางแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนและมีอยู่ใน “งู” อย่างชนิดที่ไม่ค่อยได้พบในนิยายเรื่องอื่น ๆ คือแก่นแท้ของความเป็นชนบทที่แฝงอยู่ในเลือดเนื้อและลมหายใจของตัวละครทุกตัว
“งู” นอกเหนือจากความเป็นพื้นบ้านพื้นเมือง สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือความเชื่อถือของท้องถิ่นและผู้คนซึ่งจำเป็นต้องตั้งคำถามว่าถูกหรือผิด…
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่ออันเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี หรือวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในดินแดนนั้น ล้วนแต่น่าตั้งคำถามด้วยกันทั้งสิ้น…!!!
3.เรื่อง : ศาสดาขบถ กัญชา อิตถีเพศ และเทศนาด้วยบทเพลง
นักเขียน : สตีเฟน เดวิส
แปล : อัคนี มูลเมฆ
สำนักพิมพ์ : เคล็ดไทย
เพลงเร็กเกเป็นเหมือนแถลงการณ์ของคนยาก ผู้อุทธรณ์เรียกหาอิสรภาพและความยุติธรรม ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ระดับชาติและเผ่าพันธุ์ผิวดำทั้งมวล เพื่อการนี้พวกเขาต่อสู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เริ่มตั้งแต่การสร้างอัตลักษณ์ อุดมการณ์ สร้างชาติใหม่ สร้างวัฒนธรรมใหม่ และแม้กระทั่งผู้ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่กลับมาจุติในนาม”บ๊อบ มาร์เลย์” คิงส์ ออฟ เรกเก…!!!
“บ๊อบ มาร์เลย์” เป็นยิ่งกว่านักปฏิวัติความสำเร็จของเขาเป็นกำลังใจให้ศิลปินคนยากทั่วโลก บทเพลงของเขาทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้กับคนดำผู้ถูกกดขี่ โหมกระพือข่าวคราวของเทพเจ้าองค์ใหม่ สร้างอัตลักษณ์คนดำโดยใช้วัฒนธรรมดนตรีเป็นอาวุธอย่างยิ่งใหญ่จนเป็นตำนาน
จากถิ่นสลัมยากจน ‘บ๊อบ มาร์เลย์ แอนด์ เดอะ เวลเลอร์ส’ ออกอัลบั้ม10 ชุด จากอัลบั้มชุดแรก Catch a Fire เรื่อยไปถึง Confrontation มียอดขายรวมกันถึงสามร้อยยี่สิบล้านแผ่น(320,000,000 แผ่น) มีเพลงในชุดExodusเป็นอัลบั้มที่ได้รับความนิยมสูงสุด
“นับเนื่องจนถึงวันนี้ เสียงเพลงของ บ๊อบ มาร์เลย์ ยังดำรงอยู่ เป็นบทเพลงที่มีความสำคัญอย่างแท้จริงที่สื่อสารถึงผู้คนหลายประเภท สำหรับศาสนิกชน เนื้อหาที่สะท้อนอยู่ในเพลงของเขาแจ่มชัดอยู่แล้ว สำหรับชาวมาร์กซิสม์พวกเขาได้ยินเสียงปลุกเร้าให้ขบถและลุกขึ้นจับอาวุธ สำหรับคนดำ มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เพลงสื่อสารออกมา แต่สำหรับแฟนเพลงผิวขาว พวกเขาได้ยินเสียงเพลงแห่งความรักสากลและภราดรภาพ” สตีเฟน เดวิส