27/07/2024

จีน VS อเมริกา สงครามการค้ารอบใหม่

 

ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการชิงชัยของสองพรรคสองผู้เฒ่า  ระหว่างพรรคเดโมแครตที่ส่ง โจ ไบเดน ให้นั่งเก้าอี้ต่อ  กับพรรครีพับริกันที่ส่ง โดนัลด์ ทรัมป์ มาทวงเก้าอี้คืน  ซึ่งชาวอเมริกันจะต้องตัดสินโหวตกันในเดือนยพฤศจิกายนนี้นั้น  แม้จะเป็นการเมืองในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นแบบประชาธิปไตย  แต่วิธีการหนึ่งของการแข่งขันหาเสียงก็คือการ “เล่นงานจีน

 

 

เพราะประเทศจีนในวันนี้ถูกรัฐบาลวอชิงตันระบายสีให้เป็นเหมือน “มังกรร้าย” ที่เป็นภัยคุกคาม  มิใช่เป็นเพียงชาติที่เผยแพร่วัฒนธรรมการกินอาหารด้วยไม้ไผ่ 2 แท่งที่เรียกว่า “ตะเกียบ”ซึ่งสร้างความยากลำบากแก่ชาวอเมริกันที่ถนัดมีดกับซ่อม  มิใช่เพียงคู่แข่งขันทางการค้าที่อเมริกาต้องเสียดุลเพราะคนอเมริกันเป็นนักบริโภคจนต้องนำเข้ามากกว่าส่งออกปีละมหาศาล

แต่เพราะจีนที่เคยยากจนข้นแค้น  เคยเป็น “ผิวเหลืองขี้โรคแห่งเอเชีย”  เคยล้าหลังทางเทคโนโลยี  เคยก้มหัวไม่กล้าปริปากแม้จะถูกกดขี่จากนานาประเทศนักล่าอาณานิคมในอดีต  มาวันนี้จีนบังอาจเงยหน้าตาแข็งชูคอเบ่งกล้ามขึ้นมาบดบังรัศมีกับสหรัฐอเมริกาในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  ถึงขั้นเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้าง “ระเบียบโลกใหม่” ที่ไม่ยอมให้สหรัฐฯเป็นผู้กำหนดกฎกติกาแต่เพียงผู้เดียว

จีนจึงเป็นตัวอันตราย เป็นภัยแห่งความมั่นคงของสหรัฐฯที่กองทัพและฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯกำหนดยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า  ไม่ว่าพรรคการเมืองใดหรือใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ  จะต้องรับรู้ว่างาน“ปราบมังกร” คือภารกิจอันดับต้นๆเช่นเดียวกับการส่งออกสงครามเพื่อหารายได้จากการค้าอาวุธ

 

 

ด้วยเหตุนี้ “สงครามการค้า” ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 8 ปีก่อนนับตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกและไบเดนรับไม้มาดำเนินการต่อแม้จะเป็นคนละพรรคการเมือง  และในช่วงครึ่งปีหลังนี้ซึ่งถือว่าเป็นโค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้งประเด็นจีนจึงถูกปั่นกระแสกลายเป็น “สงครามการค้ารอบใหม่” ในขณะนี้เมื่อทั้งสองพรรคการเมืองแข่งกันหาเสียงว่าจะแก้ปัญหาชีวิตชาวอเมริกันที่กำลังเผชิญอยู่ด้วยการลดอิทธิพลจีน  จะไม่ให้สินค้า Made in China ราคาถูกเข้ามาตีตลาดซึ่งเป็นการทำลายอุตสาหกรรมและการจ้างงานในประเทศ  จะสกัดกั้นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVจีน ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเพราะจะเป็นการสร้างหายนะแก่อุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกา

ไฟที่ทรัมป์จุดเอาไว้ถูกเติมเชื้ออย่างต่อเนื่อง  ยิงเข้าใกล้โค้งสุดท้าย  ทุกฝ่ายต่างพยายามจะหาเสียงกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม  กลุ่มรักชาติ  ออกมาปกป้องรักษาตลาดภายในประเทศ

ไบเดนซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบบนเก้าอี้ประธานาธิบดีได้อ้างกฎหมายทางด้านการค้าโดยเฉพาะมาตรา 301 Trade Act เพื่อใช้มาตรการทางภาษีในการรับมือการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกจากจีน  คือเหตุผลของความชอบธรรมของรัฐบาลวอชิงตันในการขึ้นกำแพงภาษีครอบคลุมสินค้าจีนคิดเป็นมูลค่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 6.6 แสนล้านบาท) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2024 โดยไบเดนป่าวประกาศว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

สินค้าหลักๆจากจีนที่เจอกำแพงภาษีรอบนี้ระดับ 25% 50% จนถึง100% นับจากปีนี้จนถึงปี 2026 ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า  แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน  เหล็กและอลูมิเนียม  เซมิคอนดักเตอร์  แผงโซลาเซลส์  ถุงมือยางทางการแพทย์  ชุดPPE ป้องกันเชื้อโรคและสารเคมีรุนแรง  จนถึงหน้ากากอนามัย ฯลฯ

การที่สหรัฐฯประกาศกำแพงภาษีต่อจีนครั้งนี้ดูเหมือนจะจงใจประกาศล่วงหน้า 2 วันก่อนที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย จะเดินทางไปเยือนจีนครั้งแรกหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมที่ 5  ในโอกาสครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-รัสเซีย

มีการตั้งข้อสังเกตว่าสงครามการค้ารอบใหม่ที่สหรัฐฯเล่นงานจีนครั้งนี้  ดูเหมือนว่าจีนไม่ตอบโต้ ไม่แสดงความแข็งกร้าวอย่างสมัยทรัมป์  ซึ่งอาจเป็นเพราะช่วงจังหวะนั้นรัฐบาลปักกิ่งต้องการบริหารจัดการข่าวในเชิงบวกของภาพการพบปะกันของสองผู้นำ สี จิ้นผิง กับปูติน พร้อมแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการกระชับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน  มากกว่าข่าวสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา

นอกจากนั้นในเหตุการณ์ใหญ่ถัดมายังมีข่าวเฮลิคอปเตอร์ที่ประธานาธิบดีอิหร่านโดยสารเกิดอุบัติเหตุตกจนเสียชีวิต  รัฐบาลจีนร่วมแสดงความเสียใจก็ไม่อยากออกข่าวอื่นให้กระทบบรรยากาศ

จีนยุคหลังห่วงใยภาพลักษณ์ การแสดงจุดยืนในเวทีโลก  เพราะนับแต่เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก  จีนได้แสดงบทบาทสนับสนุนส่งเสริมการค้าเสรีมาอย่างต่อเนื่อง  จนมาเจอทรัมป์และไบเดนออกมาตรการกีดกันทางการค้า  จีนจึงพลิกเกมเอาปัญหานี้มาเป็นโอกาสสร้างภาพบวกแก่ตนเอง

 

 

ดังนั้นแม้จีนจะเจอการกีดกัน  แต่การออกมาตรการตอบโต้นั้นจีนต้องเลือกด้วยเหตุผล  1.สิ่งที่จะไม่กระทบกับภาพลักษณ์ใหญ่ของประเทศ  2.ต้องพิจารณาผลกระทบย้อนกลับภายในประเทศจีนเอง  เพราะหลังโควิดจีนเพิ่งฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและต้องการผลักดันให้เข้มแข็งเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ  ไม่ต้องการหยิกเล็บเจ็บเนื้อ  เช่น การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯเพื่อการเลี่ยงสัตว์  แม้ในช่วง 10 ปีจะนำเข้าลดลงเรื่อยๆหันไปนำเข้าจากแหล่งอื่นเช่นบราซิล  หากไปขึ้นอากรนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐเพื่อตอบโต้  แต่จะเป็นการเพิ่มต้นทุนต่อวัตถุดิบอาหารสัตว์และจะทำให้สุดท้ายปลายทางคือเนื้อสัตว์และผลผลิตราคาแพง  กระทบเศรษฐกิจภายในประเทศ

3.จีนจะเลือกไปดูสินค้าที่มีความอ่อนไหว  ส่อเค้าว่าสหรัฐฯและชาติพันธมิตรพยายามทุ่มตลาดหรือไม่ เช่น สารเคมี ซึ่งจีนจำเป็นต้องนำเข้าจากหลายประเทศ  จะเลือกให้มีการไต่สวนการทุ่มตลาดจากสินค้าเหล่านี้   หรือกรณีการสั่งแบน 3บริษัทที่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายอาวุธให้แก่ไต้หวัน

4.จีนเลือกหนทางพึ่งพาตนเอง เช่น พึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการสร้างกองทุนการลงทุนชิปหรือ Big Fund ระลอกที่ 3 ทุนจดทะเบียน 3.5 แสนล้านหยวน

สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบนี้เชื่อว่าจะไม่แรงเหมือนสมัยแรกที่ทรัมป์เปิดศึกจนสั่นสะเทือนทั่วโลก  อาจจะมีแนวร่วมจากชาติยุโรปร่วมแบนสินค้าจีนมากขึ้น  สินค้าจีนจะยิ่งทะลักสู่ภูมิภาคอื่นรวมทั้งอาเซียนและไทยที่เป็นนักช็อปปิ้งออนไลน์  จนแล้วไม่เจียม  สนุกกับการกดไลค์ กดแชร์ และกดสั่งซื้อ  ไทยขาดดุลการค้าจีนอยู่แล้วและจะยิ่งขาดดุลมากขึ้น

 

 

รัฐบาลจีนจะยังคงนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการจีนรุกสู่ภายนอก  ขยายฐานการผลิตก็คือขยายอิทธิพลจีนสู่โลกกว้าง  เหมือนที่กำลังทำในทวีปแอฟริกา  เชื่อว่าEVจีนอีกหลายแบรนด์จะเข้ามาตั้งโรงงานในไทย  มาเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาค

ผลกระทบเหล่านี้สุดท้ายจะย้อนกลับไปที่สหรัฐฯ  ชาวอเมริกันที่เจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงอาจจะต้องควักกระเป๋าซื้อของแพงยิ่งขึ้น  เพราะนักการเมืองยกเอาเรื่องดุลการค้ามาหาเสียงหาเรื่องทะเลาะกับจีน  กีดกันสินค้าราคาถูกจากจีน  ตั้งกำแพงภาษีสูงๆ  พ่อค้าอเมริกันก็จะต้องหันไปนำเข้าจากที่อื่นซึ่งต้นทุนอาจจะสูงกว่า  เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า  แต่ผลลัพธ์คือจ่ายแพงกว่า ต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เงินในกระเป๋าลดลง

ส่วนนักการเมืองได้เข้าไปนั่งกระดิกเท้าที่ทำเนียบขาวเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *