ระเบียบโลกใหม่และภูมิรัฐศาสตร์ ผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองไทย-จีน
เชิงรุก เชิงสร้างสรรค์ในการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ คลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งไทยไม่จำเป็นต้องทำโดยลำพัง แต่อาศัยเพื่อนในอาเซียนอีก 9 ประเทศให้ช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จ
โลกวันนี้ถูกย่อให้เล็กลง ถูกย่นระยะทางให้สั้นลง ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัยจนรู้สึกว่ามีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อน มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารซึ่งมิใช่มาจาก “สื่อมวลชนอาชีพ”เพียงฝ่ายเดียว
แต่วันนี้ประชาชนทั่วไปที่มีมือถือคือ “พลเมืองข่าว” สามารถสื่อข่าว ส่งความ ออกสู่โลกอินเตอร์เน็ตได้ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งหลายเรื่องราวมีอิทธิพลต่อสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งดีและร้าย
ประเทศไทย กับจีน มีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนานนับพันปี และมีความสัมพันธ์ทางการทูตยุคใหม่มาถึงวันนี้ 49 ปี ที่ผ่านมาก็ได้อาศัย “สื่อมวลชนอาชีพ” ของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่เสนอข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจอันดีของประชาชนสองประเทศ
แต่ขณะเดียวกันก็ยังมี “สื่อพลเมือง”ทั้งไทยและจีน ทั้งประเภทที่ตั้งใจผลิตเนื้อหาสาระที่ดีออกเผยแพร่ และประเภทสมัครเล่นที่นำเสนอเรื่องราวความคิดเห็นตามกระแสสังคมแบบผิดๆถูกๆ ซึ่งปรากฏให้เห็นว่ามีทั้งที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีของสองฝ่าย และที่สร้างความกระทบกระเทือนต่อภาพพจน์ของประเทศ
เรื่องราวของไทย-จีนนั้นแม้จะแตกต่างกันที่ขนาดพื้นที่ จีนมี 23 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง 2 เขตบริหารพิเศษ กับพลเมือง 1,400 ล้านคน เทียบกับไทยที่มี 77 จังหวัด พลเมือง 66 ล้านคน แต่ในมุมของสื่อมวลชนนั้นมีเรื่องราวให้ติดตามมากมาย
ไม่ใช่แค่เรื่องทุเรียนไทยไปจีนปีนี้จะเพิ่มเท่าไร หรือรถEVจีนค่ายไหนจะมาบุกตลาดไทยอีก
ไม่ใช่แค่ฟรีวีซ่าพานักท่องเที่ยวมาอีกเท่าไร หรือหมีแพนด้าคู่ใหม่จะมาเมื่อไร จะชื่ออะไร
ไม่ใช่แค่ให้ทายว่าระหว่างรถไฟไทย-จีน กับถนนพระราม 2 เส้นทางไหนจะเสร็จก่อนกัน
ไทย-จีน เรายังมีความท้าทายร่วมเรื่องการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรามีปัญหาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่ไทยยิ่งค้ายิ่งขาดดุล เรามีความร่วมมือเรื่องล้านช้าง-แม่โขง เรามีปัญหาร่วมเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เรามีปัญหาเรื่องอนาคตของ“เมียนมา”ประเทศเพื่อนบ้านของไทยและจีน
ต่างๆเหล่านี้คือภารกิจของสื่อมวลชนที่ต้องติดตามและนำเสนอต่อประชาชนเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และนี่คือที่มาของงานเปิดตัว “สมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน” เมื่อค่ำคืนวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ห้องพาโนรามา โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
ในงานดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี คือหนึ่งในวิทยากรที่ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ ระเบียบโลกใหม่และภูมิรัฐศาสตร์ : ผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองไทย-จีน” โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจนั้นเกินเลยไปกว่าที่จะพูดว่าเป็นความสัมพันธ์ เพราะจีนคือคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ไทยคือคู่ค้าอันดับ 3 ในอาเซียนของจีน การลงทุนของจีนในไทยเติบโตขึ้นโดยลำดับ ในปี 2566 ที่ผ่านมาจีนเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับต้นๆเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์
เมื่อเรากำลังเข้าสู่ปีที่ 50 ของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เราได้เห็นมาตลอดว่าการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจมีการเปิดกว้างและมีหลายมิติมากขึ้น ก่อนโควิดจะมาเราพบว่า 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวคือนักท่องเที่ยวจีน และเราก็หวังว่าเมื่อโควิดยุติลงเราจะมีโอกาสได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเหมือนเดิม
ปีที่แล้วตัวเลขอาจจะต่ำกว่าที่หวังไว้ แต่2เดือนแรกของปี2567ได้เห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเรื่อง “วีซ่าฟรี”ยกเว้นการตรวจลงตรา ซึ่งได้ทดลองและมาดำเนินการถาวรในปัจจุบัน
ช่วงที่เกิดโควิดโลกเกิดความตึงเครียดจากสงครามทางการค้าย่อยๆระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งแม้ไทยหรือประเทศในอาเซียนไม่ได้ไปเกี่ยวข้องโดยตรง หรืออาจจะได้ประโยชน์บ้างจากการย้ายฐานการผลิต แต่โดยรวมแล้วความขัดแย้งแบบนี้ได้ลดมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ลดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก และที่สุดคือการกระทบการพัฒนาเศรษฐกิจของทุกประเทศ
จากสงครามการค้ามาเป็นสงครามจริง ยูเครน-รัสเซีย อิสราเอล-ฮามาส เราหวังว่าจะไม่มีมากไปกว่านี้แต่ไม่มีใครประมาทได้เลย เวลาเกิดสงครามขึ้นจริงผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานเป็นรูปธรรมมาก
แต่ปัญหาไม่ได้หยุดแค่เพียงด้านกายภาพ ถ้าความขัดแย้งเป็นสงครามตัวแทน เป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องนี้ใหญ่มาก เพราะความสำเร็จของจีนในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของไทยตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เกิดขึ้นได้เพราะปรากฏการณ์ “โลกาภิวัตน์” ที่สร้างโอกาสในการเพิ่มพูนการค้าการลงทุน การแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ และเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนในโลกพ้นจากความยากจนมากเป็นประวัติการณ์
แต่ถ้าแนวโน้มทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ สามารถยืนยันได้ว่าท่าทีของสหรัฐฯและจีนที่มีต่อกันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ถ้อยคำ ภาษา แถลงการณ์ การสัมภาษณ์ที่มีการพาดพิงถึงกัน อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งหวังว่าจะมีความพยายามหยุดยั้ง ยุติ ไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้
เพราะจากความหวาดระแรงและความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันได้นำไปสู่มาตรการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจการค้า มีการจัดประเภทสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ไล่เรียงไปถึงห่วงโซ่อุปทานที่หากมาจากอีกประเทศหนึ่งก็จะมีการกีดกัน ผลกระทบที่ตามมาอาจจะมีการได้ประโยชน์จากการโยกย้ายฐานการผลิต แต่โดยรวมนั้นได้ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานทางเศรษฐกิจโลกขาดประสิทธิภาพ
คำถามก็คือนอกเหนือจากการรับมือกับสิ่งเหล่านี้และปรับกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศของเรา ซึ่งขณะนี้ทั้งจีนและไทยก็ได้มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเองแล้ว ทั้งไทยและจีนควรจะช่วยกันหาทางไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มาเป็นอุปสรรคในการพัฒนาสำหรับมนุษยชาติ
เชื่อว่าทั้งไทยและจีนไม่มีความประสงค์จะอยู่ในความขัดแย้ง เพียงแต่ที่ผ่านมาความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์เรื่องการพัฒนาระบบเศรษฐกิจการเมืองซึ่งนำไปสู่ความแตกต่างทางความคิด ในเชิงค่านิยม ได้สร้างความหวาดระแวงขึ้นจนกลายเป็นความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความวิตกกังวลว่าจะมีการครอบงำ หรือเขียนกติกาให้กับโลก
สหรัฐฯที่เคยเป็นมหาอำนาจเดี่ยวเริ่มกังวลกับความสูญเสีย ฝ่ายจีนได้กล่าวหลายครังว่าเหตุใดโลกตะวันตกต้องใช้ค่านิยมตะวันตกเข้ามากำหนด ขีดเส้น ให้กับประเทศอื่นๆซึ่งอาจจะเลือกเส้นทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน
นี่คือปัญหาซึ่งมิใช่เรื่องที่ยากเกินไปที่จะแก้ไข แต่ต้องมีเวทีในการพูดคุยหารือ ต้องสร้างค่านิยมในโลกที่เราบอกว่าเป็นโลกาภิวัตน์ เราจำเป็นต้องมีกติกาพหุภาคีที่ทั่วโลกเคารพ ไม่ว่าคุณจะเป็นประเทศเล็กหรือมหาอำนาจ
ประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญได้ในการเป็น “สะพาน” เป็น “ตัวเชื่อม” เป็นผู้เล่นที่ทำงาน