การทูตแพนด้า กล้าขอก็กล้าให้
นับจากที่ 5 กันยายน 2566 ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 เดือนแล้วที่ประชาชนเฝ้าดูการทำงานของรัฐบาลผสมชุดนี้ที่ประกาศว่าไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย ทุกวัน ทุกนาที แต่ผู้เฝ้าดูต่างรู้สึกว่าชีวิตของตนเองคงต้องเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นเพราะ 5 เดือนผ่านไปแต่ยังไร้ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่รอเงินดิจิทัลที่พรรคเพื่อไทยสัญญาว่าจะให้หัวละ 1 หมื่นบาททันทีที่ได้เป็นรัฐบาล แต่ต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด เพราะจากที่โม้ว่าไม่ต้องกู้กลับกลายเป็นจะต้องกู้เต็มเหนี่ยว 5 แสนล้านบาท และตอนนี้ก็ยังไม่ขยับเพราะรอการตีความว่า “ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” ขัดกฎหมายด้านวินัยการเงินการคลังหรือไม่ เป็นภาวะวิกฤติและความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่
ครั้นจะปลุกโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่าง “สะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย–อันดามัน (ชุมพร–ระนอง)” หรือแลนด์บริดจ์ ที่ศึกษากันมานานหลายรัฐบาล นายกฯเศรษฐาคิดจะดึงต่างชาติมาลงทุนแต่เจ้ากระทรวงคมนาคมหน้าเดิมอย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กลับหลุดปากว่า “ทำยากและต้องใช้เวลา” ทำเอาทั้งต่างชาติและคนไทยงงว่าเอายังไงกันแน่
จนถึงวันนี้จึงมีทั้งกระแสสนับสนุนให้เร่งสร้างงานสร้างเงินเพื่อปลุกเศรษฐกิจ และคัดค้านว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน
อย่างไรก็ตามการประเมินผลงานเพียง 5 เดือนของรัฐบาลที่มีวาระ 4 ปีอาจจะเร็วเกินไป เพราะอย่างน้อยนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ข้อตกลง “ฟรีวีซ่าแบบถาวร”ระหว่างไทย-จีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ จะมีผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลกลับมาไทยอีกครั้ง ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวอันจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังธุรกิจการค้าอีกหลายระดับ
ตรงนี้น่าจะได้ใจพ่อค้าประชาชนคนรากหญ้าและช่วยเรียกคะแนนนิยมให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้ตีกินไปพักใหญ่
ขณะเดียวกันนายกฯเศรษฐาได้เกิดปิ๊งไอเดียเรื่อง “หมีแพนด้า”ที่รัฐบาลจีนเคยส่ง “ช่วงช่วง” กับ “หลินฮุ่ย” ในฐานะทูตสันถวไมตรีมาใช้ชีวิตอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่นานร่วม 20 ปีจนหมดอายุขัย ส่วนทายาทที่กำเนิดในไทยชื่อ “หลินปิง”ได้ส่งกลับไปเมืองจีนตามข้อตกลง บ้านติดแอร์ที่ลงทุนสร้างเอาไว้อย่างดีสำหรับหมีแพนด้าจึงว่างเปล่า
นายกฯเศรษฐาเห็นจังหวะที่นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนมาเยือนไทยเพื่อร่วมลงนามข้อตกลงฟรีวีซ่าถาวร (แต่จริงๆเป็นที่รู้กันว่ามีเป้าหมายมาเจรจากับผู้แทนฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาโดยใช้ไทยเป็นเวทีกลาง) จีงถือโอกาสเอ่ยปากขอแพนด้าคู่ใหม่มาแสดงที่สวนสัตว์เชียงใหม่อีกครั้ง
เมื่อผู้นำไทยกล้าขอผู้แทนจีนระดับโพลิตบูโรก็กล้าให้ โดยนายกฯเศรษฐาแถลงอย่างภาคภูมิใจว่าหวัง อี้ ตอบตกลงแล้ว แต่กระบวนการในการส่งมอบแพนด้ามิใช่ในทันทีทันใด ยังต้องทำกันในอีกหลายขั้นตอน น่าจะต้องรอถึงปลายปีนี้หรือกลางปีหน้าในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน
ผู้บริหารสวนสัตว์เชียงใหม่ ออกข่าวทันควันว่าสวนสัตว์เชียงใหม่มีความพร้อมทุกด้าน โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2546-2566 ได้ให้การดูแลหมีแพนด้าเป็นอย่างดีและมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทางสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าจีน จนมีการทำหนังสือแสดงความชื่นชมจากทางการจีน ในด้านสถานที่มีความพร้อมอยู่แล้ว ทีมงานสัตวแพทย์ นักวิจัยและทีมงานสนับสนุนก็มีความเชี่ยวชาญจากการร่วมทำงานในโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี
อย่างไรก็ตามโลกไม่เหมือนเดิม คนไทยก็ไม่เหมือนเดิม นายกฯเศรษฐาคงไม่คิดว่าคนไทยจะคลั่งไคร้แพนด้าอย่างสมัยก่อน ยอมลงทุนขึ้นเครื่องบินหรือขับรถจากภาคใต้ไปเชียงใหม่เพื่อเข้าสวนสัตว์ชมหมีแพนด้า หรือจะมีทีวีช่องแพนด้าที่ถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงให้ชาวบ้านดูอย่างเมื่อก่อน หรือสินค้า เสื้อผ้า สารพัดจะต้องมีรูปแพนด้าคู่ใหม่เพื่อช่วยโปรโมทสินค้าให้ขายดี
เพราะทันทีที่ผู้นำรัฐบาลออกข่าวว่าขอหมีแพนด้าจากจีนมาเลี้ยงที่เมืองไทยอีกครั้ง ก็เกิดการแสดงความคิดเห็นคัดค้านทันทีไม่เพียงเสียงชาวบ้าน แต่ยังมีคนดังทางสังคมด้วย
อาทิ “หนูนา” น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊คบอกเหตุผลของการไม่เห็นด้วยถึง 5 ข้อ แต่ขอสรุปว่า แพนด้าอยู่จีนดีแล้ว สวนสัตว์เชียงใหม่พื้นที่จำกัดไม่เป็นธรรมชาติ ค่าเช่าแพนด้าแพงมาก ปีละหลายสิบล้าน กระแสแพนด้าในไทยหมดไปแล้ว ควรใช้เงินดูแลช้างไทยและสัตว์ในบ้านเราดีกว่า และไม่ควรใช้สัตว์เป็นทูตแล้ว
เช่นเดียวกับนักเขียนดังระดับศิลปินแห่งชาติ “วินทร์ เลียววาริณ” ได้ร่ายยาวถึงการไม่เห็นด้วยกับการนำแพนด้าสู่ไทยโดยทิ้งข้อความแด่ฝ่ายจีนว่า ยินดีรับไมตรีจิตจากจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยความขอบคุณ แต่ไม่รับแพนด้าได้ไหม?
นอกจากประเด็นสัตว์ป่าที่ควรปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติที่เหมาะสม ยังมีเรื่องข้อตกลง เงื่อนไข และค่าใช้จ่ายที่จีนมิได้ยกให้เปล่า และจากเดิมคิดค่าเช่าแพนด้าปีละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการยืมตัวแพนด้าเพื่อวิจัยร่วมกัน โดยประเทศคู่สัญญาต้องบริจาคเงินให้ฝ่ายจีนเพื่อการอนุรักษ์แพนด้าและเป็นค่าตอบ แทนบุคลากร ซึ่งแม้ไทยจะได้รับส่วนลดพิเศษแต่ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับการเอาหมีแพนด้ามาใส่กรงให้คนดู
ประเด็นที่จะถูกหยิบยกมาถกเรื่องหมีแพนด้าต่อไปคือการเปรียบเทียบกับ “ช้างไทย”ที่ยังไม่ถูกจัดเป็น “สมบัติของชาติ”เหมือนกับหมีแพนด้า แต่ช้างไทยที่มีอยู่ทั้งประเทศไม่ถึง 4,000 ตัว กำลังเผชิญปัญหาความอดอยาก “ช้างบ้าน”คนเลี้ยงหนี้ท่วมหัว “ช้างป่า”เจอปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารและที่อยู่อาศัย ต้องออกจากป่าเข้าไปหากินกระทบชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เจอลูกปืน โดนรั้วไฟฟ้าเสียชีวิต
คำถามที่จะมีต่อรัฐบาลคือจะเลือกดูแลแพนด้าจีนให้อิ่มหมีพีมันหรือจะหันกลับมาดูแลช้างไทยที่กำลังอดอยาก