2567 ปีมังกร หรือมังกือ
ตลอดทั้งปี 2566 จะเกินเลยไปไหมหากจะบอกว่าประเทศไทยมีอาการ Long COVID “หายป่วยไข้แต่ไม่จบ” เพราะไร้ชีวิตชีวา อ่อนแรง เหนื่อยง่าย สมองล้าขาดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาการนี้สะท้อนออกมาในคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 ที่กำลังบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้
อาการที่คนในชาติส่วนหนึ่งไม่คิดทำต่อสู้ชีวิตบนลำแข้งตนเอง เพราะนักการเมืองที่ได้ขึ้นมาเป็นเสนาบดีบริหารบ้านเมืองแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยวิธีง่ายๆการเอาเงินจากภาษีมาแจกจ่าย ไม่สนับสนุนให้ทำงานหาเลี้ยงชีพ คิดแต่ทำโครงการเพื่อเรียกรับคอมมิชชั่นแต่ไม่ส่งผลต่อการพัฒนาบ้านเมืองหรือคุณภาพชีวิตคนในประเทศ ไม่ส่งเสริมการแข่งขัน ไม่สร้างผลงานใหม่ๆ ไม่ประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม เอาแต่ก็อปปี้ กินอาหารสำเร็จรูป
จึงไม่แปลกอะไรที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังโควิด-19 อยู่ในอัตราที่ต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นเมียนมาที่มีปัญหาการเมืองและการสู้รบภายในประเทศ
คนที่ฝากชีวิตไว้กับความฝัน หวังว่าขึ้นปีใหม่ 2567 ปีมะโรง จะเป็น “ปีมังกรทอง” จะได้พลังมังกรมาช่วยให้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้ คงต้องเผื่อใจไว้ด้วยหากลงรายละเอียดในข้อเท็จจริงแล้วพบปัจจัยเสี่ยงปัจจัยลบอีกมากมาย
โหรดังเมืองไทยคนหนึ่งทำนายดวงเมืองว่า “ปีมะโรง สงครามไฟ” อาจจะเกิดวิกฤติทั้งในประเทศและต่างประเทศที่คุกรุ่นอยู่แล้ว
ส่วนโหรเศรษฐกิจหรือบรรดานักเศรษฐศาสตร์หลายท่านต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่าประเทศไทยยังเหนื่อยในปีหน้า เพราะเครื่องจักรเศรษฐกิจยังทำงานได้ไม่เต็มที่ แม้จะไม่ถอยหลังแต่อัตราการเติบโตในแต่ละด้านยงคงต่ำ ทั้งภาคส่งออก ลงทุน และการท่องเที่ยวที่รัฐบาลคิดอะไรไม่ออกก็ได้แต่โหมโฆษณาเปิดฟรีวิซ่าชักชวนชาวต่างประเทศเข้าไทยแบบไม่คัดกรองอันนำมาซึ่งปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย
หลายคนออกมาเตือนเรื่อง “หนี้กองโต”ของประเทศที่ต้องบริหารจัดการให้ดี ทั้งหนี้รัฐบาลที่ขยันกู้มาตลอด 8 ปีในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลเศรษฐาเตรียมจะกู้อีก 5 แสนล้านบาทเพื่อเอามาแจกจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ หนี้ภาคธุรกิจเอกชนที่สะสมมาในช่วงโควิดระบาด หนี้ส่วนบุคคลและหนี้ครัวเรือนที่วันนี้หลายครอบครัวต้อง “กู้มากิน”หรือกู้หมุนเวียนเพื่อต่อลมหายใจ
สัญญาณอันตรายที่อาจจะเป็นปรอทแตกในปี 2567 คือ NPL หรือหนี้เสียจากการกู้ซื้อบ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ไล่ยึดกันมาตั้งแต่ปี 2566
บางคนอาจจะเถียงว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าคาดว่าจะโตถึง 3% แต่ไทยเราทุกสำนักประเมินว่าโตกว่า 3%
ธนาคารโลก คาดเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะโต 3.2%
ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินเท่ากันที่ 3.2% นักท่องเที่ยวจะมา 34.5 ล้านคน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB คาดโต 3.1%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าจะโต 3.1% นักท่องเที่ยวจะมา 30.6 ล้านคน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ประเมินไว้ 3.1%
ข่าวดีคือปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมามากกว่า 30 ล้านคนแน่ แต่ต้องไม่หวังจีน เพราะจีนยังมีปัญหาภายใน บางคนถึงกับฟันธงว่าจีนไม่ใช่เครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอีกต่อไปแล้ว เห็นได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่หดหายไปทั่วโลก
วันนี้คนจีนเริ่มประหยัดเน้นเที่ยวในประเทศ เก็บเงิน หยุดซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจมฟองสบู่ หยุดซื้อรถยนต์ สินค้าที่ผลิตแล้วขายไม่ออกทางฝั่งยุโรป อเมริกา เริ่มทุ่มใส่ตลาดอาเซียนจนวันนี้สินค้าจีนท่วมตลาดบ้านเรา ปีหน้าจะเห็นโรงงานไทยปิดตัวเลิกจ้างอีกมากมาย
ปัญหาของโลกในปี 2567 ยังเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจยังเป็นหลักแม้สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เปลี่ยนตัวผู้นำใหม่หลังการเลือกตั้งปลายปี 2567 นโยบายการเมืองก็จะยังมีผลต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่งลงนามบังคับใช้กฎหมายนโยบายกลาโหม หลังสามารถล็อบบี้ให้สภาคองเกรสยอมเปิดไฟเขียวเพิ่มงบด้านการทหาร ขึ้นเงินเดือนทหาร เพิ่มงบช่วยเหลือยูเครน งบช่วยอิสราเอล สนับสนุนไต้หวันซึ่งหมายถึงการรับมือกับจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมประมาณ 8.86 แสนล้านดอลลาร์(ประมาณ 28 ล้านล้านบาท)
การเมืองของสหรัฐอเมริกาบังคับให้ไบเดน ยังต้องหนุนหลัง โวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดียูเครนทำสงครามตัวแทนยูเครน-รัสเซีย ต่อไปซึ่งจะครบ 2 ปีเต็ม วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567
ในอีกด้านหนึ่งสงครามจะไม่จบจนกว่า วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย จะบรรลุเป้าหมายนั่นคือ ยูเครนต้องปลอดนาโต้ ปลอดนีโอนาซี เป็นกลาง ยอมรับการควบรวมดินแดน
เช่นเดียวกันการหนุน เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลให้ยังคงถล่มปาเลสไตน์ แม้จะมีโอกาสขยายวงไปยังซีเรียและอิหร่าน เพราะอิสราเอลคือลูกรักที่สหรัฐฯฟูมฟักมาตั้งแต่การก่อตั้งประเทศในดินแดนปาเลสไตน์เมื่อ 75 ปีก่อน และสนับสนุนงบประมาณ อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงเสียงสนับสนุนในเวทีสหประชาชาติมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสงครามในยุโรปและตะวันออกกลางยังไม่สงบ อเมริกายังเพลิดเพลินกับการขายอาวุธและพิมพ์แบงก์ดอลลาร์ ย่อมมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แล้วประเทศไทยจะยังหลงเพ้อ นั่งฝันหวานปั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะๆเพื่อหวังพยุงเศรษฐกิจกระนั้นหรือ
รัฐบาลผสมเศรษฐา 1 เข้ามาทำงานเกือบ 4 เดือน นอกจากยืดลมหายใจให้คนจนด้วยการลดค่าไฟฟ้า คุมราคาน้ำมัน ลดค่ารถไฟฟ้าสีแดงเหลือ 20 บาทแล้ว ถามว่ามีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ท่องคาถากล่อมคนไทยให้รอการแจกเงินดิจิทัล และรอการแก้หนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนเอาไว้ แค่นี้จริงๆสำหรับปี 2567