เศรษฐีจะแก้หนี้นอกระบบ
ในระหว่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังต้องผลักดันแผนแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทอย่างยากลำบาก และในระหว่างที่หัวหน้าพรรคอุ๊งอิ๊ง–แพทองธาร ชินวัตร ยังต้องอธิบายทำความเข้าใจเรื่อง “ซอฟท์ พาวเวอร์” และยืนยันว่าไม่ใช่จะให้เล่นสงกรานต์ทั้งเดือนรัฐบาลเพื่อไทยจึงต้องเข็นนโยบาย “แก้หนี้นอกระบบ” ออกมาใช้แก้ขัดไปก่อน
เพื่อให้บังเกิดผลงานร่วมกัน นายกฯเศรษฐาจึงผูกมือเสี่ยหนู–อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหวังอาศัยกลไกฝ่ายปกครองที่มี “ศูนย์ดำรงธรรม” ให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และดึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาร่วมขบวนการแก้หนี้คนจน โดยหลักการคือจะเรียกนายทุนเงินกู้มาเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้
เป็นการต่อยอดนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลซึ่งรัฐบาลประกาศมาตั้งแต่แรกโดยมีกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำงานอย่างขึงขัง(ในช่วงแรก)
“หนี้นอกระบบคือการค้าทาสยุคใหม่ที่ได้พรากอิสรภาพ ความฝัน ไปจากผู้คนในยุคสมัยนี้ ปัญหานี้เรื้อรังและใหญ่เกินกว่าที่จะแก้ได้โดยไม่มีภาครัฐเป็นตัวกลาง
วันนี้เราจะเอาจริงเอาจังทำให้การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวัง และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน” ส่วนหนึ่งของสคริปที่นายกฯเศรษฐาอ่านในวันแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นคำพูดที่ฟังดูสวยงามที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจากทีมงานของนายกรัฐมนตรี
ข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงถึง 90.6 % ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนลดลง
หมายความว่าวันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อปากท้อง เพื่อการกินการอยู่ มากกว่าจะกู้เพื่อการค้าการลงทุนอย่างเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าในปี 2564 คนไทยมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบเฉลี่ยประมาณ 205,679 บาทต่อครัวเรือน แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 202,075 บาทต่อครัวเรือน ที่เหลือเป็นหนี้นอกระบบ 3,604 บาทต่อครัวเรือน
มีงานวิจัยถึงสาเหตุการเป็นหนี้นอกระบบพบว่าส่วนใหญ่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซื้อเครื่องประดับ โทรศัพท์มือถือ 46.8% ใช้จ่ายจำเป็นในครัวเรือน รักษาพยาบาล ค่าเทอม 41.5% ลงทุนประกอบอาชีพ 9.4% กู้ใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า 2.3%
ส่วนกลุ่มอาชีพที่เป็นหนี้นอกระบบ อาชีพอิสระเป็นหนี้เฉลี่ย 18,713 บาท ผู้มีอาชีพรับจ้างหรือลูกจ้าง 31,776 บาท อาชีพค้าขาย 33,265 บาท พนักงานเอกชน 46,569 บาท ผู้ประกอบกิจการส่วนตัวมีหนี้เฉลี่ย 65,432 บาท เกษตรกร 90,818 บาท ข้าราชการ 117,932 บาท พนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นหนี้สูงสุดเฉลี่ย 158,181 บาท
ย้อนไปสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี (2544 – 2549) ช่วงนั้นระบุว่ามีหนี้นอกระบบประมาณ 1.3 แสนล้านบาท สมัยรัฐบาลลุงตู่–พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (2557 -2566) ระบุว่าคนไทยเป็นหนี้นอกระบบทั้งประเทศประมาณ 9 แสนราย ส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน 5 แสนราย ลุงตู่นั่งเป็นนายกฯ 8 ปีมีกองทัพหนุนหลังบอกว่าเคลียร์หนี้ได้เยอะ
มาถึงรัฐบาลเศรษฐา ทีมงานประเมินจำนวนหนี้ครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบคิดเป็นมูลค่าประมาณแค่ 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นผลงานอันเหลือเชื่อของรัฐบาลลุงตู่ หรือสวนทางกับความรู้สึกและสภาพความจริงในสังคมปัจจุบัน
เพราะแม้แต่นายกฯเศรษฐาเองก็ยังพูดว่าตัวเลขต่ำเกินไป จึงจัดให้ลงทะเบียนยาวนาน 3 เดือนตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567
หนี้นอกระบบนั้นมีมากหรือน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ ก็เพราะมันอยู่นอกระบบ ไม่มีนายทุนคนไหนออกมาประกาศตัวหรือเปิดเผยผลประกอบการ หรือจ่ายภาษีให้สรรพากร แต่นายทุนเงินกู้คงอยู่ในสังคมมาอย่างยาวนาน เพราะทุกรัฐบาลไม่สามารถให้บริการสินเชื่อได้อย่างทั่วถึง พอเกิดปัญหาหนักในสังคมแล้วค่อยมาแก้ไข
สมัยรัฐบาลลุงตู่มีการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขหนี้นอกระบบ แต่หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหดก็ยังคงอยู่มาถึงวันนี้ มีทั้งดอกเบี้ยลอยรายวัน บางรายเรียก 20%ต่อเดือน บางรายคิดดอกเบี้ยทุก 24 วัน เจ้าหนี้ให้บริการรับจำนำรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รับจำนอง บ้าน ที่ดิน บางรายให้ทำขายฝากโดยกำหนดให้ทำการไถ่ถอนระยะสั้น ส่วนใหญ่จะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง ว่ากันว่าบางคนเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้นักการเมืองด้วยซ้ำ
ลูกหนี้นอกระบบที่นายกฯเศรษฐาบอกว่าเป็นทาสยุคใหม่นั้น แม่ค้าขายอาหารรถเข็นบางคนมีหนี้เกือบ 1 แสนบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 20 รายได้ไม่พอส่งรายวัน วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งบอกว่ามีหนี้อยู่ 5 หมื่นบาท ต้องหมุนเงินมาเคลียร์หนี้ทุกวัน
เจ้าหนี้นอกระบบนอกจากจะคิดดอกเบี้ยสูงแล้วยังใช้วิธีการทวงหนี้สารพัดแบบ ตั้งแต่ทวงกันต่อหน้าธารกำนัน ประจานกลางตลาดให้อับอาย จำนวนมากที่ใช้ลูกน้องตามทวงถึงบ้าน ข่มขู่ คุกคาม ยึดทรัพย์สิน ทำลายข้าวของ ทำร้ายร่างกาย ยุคนี้โพสต์ประจานลงโซเชียลมีเดีย และถึงขั้นยิงตายเป็นข่าวดังกรณีหนี้แค่ 400 บาท
อย่างไรก็ตามเจ้าหนี้นอกระบบใช่ว่าจะเลวร้ายไปหมด นายทุนใจดีก็มีไม่น้อยที่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ลำบากกว่า ไม่ได้คิดดอกโหด ให้เวลาผ่อนชำระยาวนาน เห็นหน้าเห็นตา เจ้าของที่นาให้เช่าทำนาน จ่ายดอกเบี้ยเป็นข้าวสารหรือผลผลิตทางการเกษตรก็มี ดังนั้นจึงมีหนี้นอกระบบที่ไม่มีปัญหาอีกมากพอสมควร
แต่ที่มีปัญหาคือแก๊งเงินกู้โหดที่มาพร้อมนโยบาย “ต้องมี ห้ามหนี ต้องจ่าย”
คนที่ไปลงทะเบียนกับรัฐบาลในช่วง 3 เดือนนี้ เชื่อว่าน่าจะเดือดร้อนจริงๆ ยอมรับว่าไปกู้เงินเขามาจริง อยากจะให้ลดดอกเบี้ย หรือหมดปัญญาชำระหนี้เพราะขาดอาชีพ ธุรกิจล้มเหลว ขาดรายได้ อยากหาความคุ้มครองจากรัฐ อยากหาทางรีไฟแนนซ์เปลี่ยนเจ้าหนี้ หรืออยากได้เงินกู้เพิ่มเพื่อการดำรงชีวิต เพราะรัฐบาลประกาศให้ความหวังมีแบงก์รัฐมาเตรียมปล่อยกู้ให้ใหม่
เหตุที่ปัญหาหนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้น เพราะไปกู้ในระบบไม่ผ่าน เงื่อนไขเยอะ ต้องมีทรัพย์ค้ำประกันหรือบุคคลค้ำประกัน ต้องมีรายได้เพียงพอชำระหนี้ตามกติกาของสถาบันการเงิน
ปัญหาที่ซ้ำเติมคือเศรษฐกิจถดถอย ฝืดเคือง คนใช้จ่ายน้อยลง เงินไม่สะพัด รายได้จากการค้าขายไม่เพียงพอจะชำระหนี้ แค่หาเงินส่งดอกเบี้ยก็แทบไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง
คนเป็นหนี้หลายคนยอมรับว่าเคยคิดสั้น จะฆ่าตัวตายเพื่อจบปัญหาความรับผิดชอบ แต่เพราะห่วงคนข้างหลังต้องมาแบกรับหนี้ต่อ ห่วงลูก ห่วงพ่อแม่ ฯลฯ จึงต้องก้มหน้าหาเงินมาจ่ายดอกให้เจ้าหนี้
บรรดามหาเศรษฐีอย่างท่านนายกเศรษฐา ท่านรองนายกฯอนุทิน ที่เดินทางด้วยรถหรูมีคนขับ พักอาศัยอยู่คฤหาสน์หลังงาม จิบไวน์ กินอาหารมื้อละหลายพัน จะลงมาแก้หนี้นอกระบบที่เชื่อมโยงนายทุนกับผู้มีอิทธิพล ท่านเข้าใจหัวอกคนจนจริงหรือ