14/05/2024

Korea Everywhere เรื่องแย่ทัวร์เกาหลีกับผีน้อย

 

โดย………ชัยวัฒน์  วนิชวัฒนะ

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) เพิ่งทุ่มทุนจัดมหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี  Korea Travel Festival โดยใช้  4 ห้างดังของไทยทั้งไอคอนสยาม สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ ดิ เอ็มควอเทียร์  ขนศิลปินK-Pop ดึงคนร่วมงาน “Korea Everywhere” ช่วงวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเชิญชวนคนไทยให้ไปเที่ยวเกาหลีใต้ในช่วงฤดูหนาว  ดูใบไม้เปลี่ยนสี  สัมผัสหิมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมแดนกิมจิ

นายคิม ชังซิล ประธานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ประจำประเทศไทยกล่าวเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนของการท่องเที่ยวเกาหลี   มีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนเกาหลีปีละ 570,000 คน  และเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ขณะเดียวกันชาวเกาหลีก็เดินทางมาเที่ยวไทยปีละ 1.89 ล้านคน

 

 

รัฐบาลเกาหลีและไทย จึงร่วมกันตั้งเป้าหมายปี 2566-2567 ให้คนไทยและคนเกาหลี เดินทางท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้นเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน  โดย KTO ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศความร่วมมือระดับทวิภาคี กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทย (2023-2024 Korea-Thailand Mutual Visit Years) โดยจะมีการโปรโมทและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศตลอดปี

กิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากบริษัททัวร์ไทยและคนไทย เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเปิดรับวัฒนธรรมเกาหลีไม่น้อยไปกว่าญี่ปุ่น  การซื้อทัวร์ไปเที่ยวแบบหมู่คณะและการจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเองแบบส่วนตัวในช่วงปลายปีนี้จึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงมาก

 

 

แต่ทันทีที่เท้าของนักท่องเที่ยวไทยสัมผัสแผ่นดินฮันกุกและก้าวเข้าเขตตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ในสนามบิน  บรรยากาศที่น่ารื่นรมย์กลับเปลี่ยนเป็นมาคุเมื่อเจอความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตม.เกาหลีที่ไม่อยากจะรับแขกจากเมืองไทย    หลายคนถูกพาเข้า “ห้องเย็น”ซักไซ้ประวัติ มีการซักถามอย่างเข้มข้นคล้ายการสอบสวนผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิด   แสดงอาการเหยียดคนไทย  มีคำพูดออกมาว่า “มาเที่ยวเกาหลีหลายครั้งแล้วยังไม่เบื่อเหรอ  น่าจะพอแล้ว

 

 

บริษัททัวร์ไทยให้ข้อมูลว่า ตม.เกาหลีใช้วิธีสุ่มตรวจ  ใช้ความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนว่าจะปล่อยคนไหน  จะกักคนไหน  จะปฏิเสธคนไหน  ขาดบรรทัดฐาน  ส่วนเรื่องกิริยามารยาทนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตม.แต่ละคน

หลักเกณฑ์ที่ตม.อาจจะปฏิเสธการเข้าเมืองคือพาสปอร์ตขาวไม่เคยเดินทางมาก่อนเลย  ไม่เคยเข้าเกาหลี  หรือในทางกลับกันบางคนเข้าบ่อยเกินไป  เดินทางคนเดียว  ไม่มีแผนการเดินทาง  หรือมีแผนเที่ยวน้อยวัน

 

 

สุดท้ายนักท่องเที่ยวไทยหลายคนต้องฝันสลาย  ถูกกักตัวและถูกส่งกลับไทยอย่างไม่มีเหตุผล  ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดใดๆ   เพียงแค่ไม่เป็นที่พอใจของตม.เกาหลี  แค่น่าสงสัยว่าจะแอบเข้าไปทำงาน  จะหนีทัวร์เป็น “ผีน้อย

เรื่อง “ผีน้อย”หรือคนไทยที่แอบทำงานในเกาหลีอย่างผิดกฎหมายเคยเป็นข่าวใหญ่หลายครั้งทั้งในสื่อเกาหลีและสื่อไทย   มีข้อมูลว่า คนไทยที่ทำงานถูกกฎหมายในเกาหลีมีอยู่ประมาณ 18,000 คน  แต่ที่ทำตัวเป็นผีน้อยนั้นมีมากถึง 140,000 คน

 

 

ทำไมมีมากถึงขนาดนั้นก็เพราะการเข้าเกาหลีใต้ทำได้โดยง่าย ใช้เพียงแค่หนังสือเดินทาง (Passport)  ระยะทางไม่ไกลบินแค่  5 ชั่วโมง ตั๋วเครื่องบินไม่แพง  ราคาทัวร์ก็ถูก   ข้อสำคัญคือค่าจ้างแรงงานสูงกว่าในประเทศไทยมาก

คนที่เคยทำงานภาคเกษตรที่เกาหลีบอกว่า  โดยเฉลี่ยจะได้ค่าจ้างเดือนละไม่ต่ำกว่า 5หมื่นบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าล่วงเวลาหรือเงินรางวัลอื่นๆ  เมื่อกินอยู่อย่างประหยัดจะมีเงินส่งกลับมายังครอบครัวได้อย่างน้อยเดือนละ20,000 –30,000 บาท  สามารถปลดหนี้สิน สร้างบ้านซื้อทรัพย์สินและมีทุนทำธุรกิจอย่างอื่นได้

ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว  นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ยังคิดแต่จะหางบห้าแสนล้านบาทมาแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แทนการสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในชาติทำมาหาเลี้ยงชีพตนเอง  จึงมีความจริงส่วนหนึ่งว่าในหมู่คนที่บินเข้าเกาหลีย่อมมีคนที่คิดไปแสวงหารายได้ที่ดีกว่า  แทนที่จะอดมื้อกินมื้อ  หนี้ท่วมหัวและรอวันอดตายอยู่ในเมืองไทย

ตม.เกาหลีรู้ดีถึงสภาพเศรษฐกิจไทย  มีข้อมูลล่วงหน้าของผู้ที่จะเดินทางด้วยระบบ  AI ตรวจ K-ETA ของเกาหลี คือ Korea Electronic Travel Authorization Center  และแว่วว่ามีแบล็คลิสต์คนไทยจาก 4 จังหวัด ภาคอีสาน ได้แก่ ขอนแก่น ศรีษะเกษ อุดรธานี ยโสธร  ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นผีน้อยโดดทัวร์ไปทำงาน

การที่กระแส “แบนเที่ยวเกาหลี” พุ่งแรงในโลกโซเชียลช่วงนี้ก็เพราะตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ตม.เกาหลี ได้ออกเร่งดำเนินการกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด  โดยมีข่าวว่าจะดำเนินการต่อเนื่องจนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2566  ซึ่งภาพข่าวที่เผยแพร่ออกมาระหว่างการจับแรงงานเถื่อนก็มักจะเป็นแรงงานไทยนั่นเอง

แรงงานที่ถูกจับจะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 2 ล้านวอน(ประมาณ 53,760 บาท)   ถูกขึ้นบัญชีดำ 5-10 ปี และส่งกลับประเทศ

มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมในเมื่อคนไทยแอบพักอาศัยและแอบทำงานในเกาหลีมากที่สุดนับแสนคน  แต่ทำไมรัฐบาลเกาหลียังให้ฟรีวีซ่า   และยังให้สิทธิในความคุ้มครองโทษและส่งตัวกลับโดยไม่ถูกดำเนินคดีภายในประเทศเกาหลี

คำตอบคือรัฐบาลเกาหลีเองอาจจะหลับตาข้าง  เปิดตาข้าง  เพราะเกาหลีวันนี้มีปัญหาประชากรลดลงถึงขั้นวิกฤติ  ผู้สูงอายุเยอะ  เด็กเกิดน้อย  ขาดแคลนแรงงาน  ค่าครองชีพสูง  ค่าแรงต้องจ่ายสูง  การจ้างแรงงานเถื่อนจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า  ในสังคมเกาหลีจึงมีทั้งความต้องการแรงงานไทย  ขณะที่อีกฝ่ายไม่อยากให้คนไทยเข้าไปแย่งงานทำ  หรือยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากต้อนรับคนไทยเลย  เพราะเคยมีคดีขนยาเสพติด  เคยมีการก่ออาชญากรรม  จึงสนับสนุนตม.ให้คัดกรองคนไม่ดีไม่ให้เข้าประเทศ

ปัญหาผีน้อยกับการคัดกรองนักท่องเที่ยวแม้จะดูเป็นคนละเรื่อง  แต่เพราะมีตม.เกาหลีรับผิดชอบจึงถูกเชื่อมโยงอย่างไม่อาจแยกจากกัน

การที่คนเกาหลีแสดงอาการเหยียดไทย  ก็เพราะคนไทยหลงซึมซับวัฒนธรรมเกาหลี  ชอบกินอาหาร  คลั่งไคล้ศิลปิน K-POP  ดูซีรี่ยส์เกาหลี  ลงทุนบินไปเหลาหน้าทำศัลยกรรมความงามให้เหมือนสาวเกาหลี

เพราะคนไทยค่อนข้างเสรี  เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก และพร้อมจะเที่ยวทั่วโลก  การรณรงค์ให้เลิกเที่ยวเกาหลีใต้นั้นคงยากเพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล  คนที่ไม่เจอปัญหาย่อมไม่รู้สึกอะไร  แต่ก็พอจะช่วยให้คนที่คิดจะไปต้องไตร่ตรอง  จะเสี่ยงเสียเงินซื้อทัวร์  หรือตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ค่าจองโรงแรม  แล้วไปวัดดวงว่าจะเจอแจ็คพ็อคให้ ตม.เกาหลีส่งกลับบ้านหรือไม่

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *