Korea Everywhere เรื่องแย่ทัวร์เกาหลีกับผีน้อย
โดย………ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) เพิ่งทุ่มทุนจัดมหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี Korea Travel Festival โดยใช้ 4 ห้างดังของไทยทั้งไอคอนสยาม สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ ดิ เอ็มควอเทียร์ ขนศิลปินK-Pop ดึงคนร่วมงาน “Korea Everywhere” ช่วงวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเชิญชวนคนไทยให้ไปเที่ยวเกาหลีใต้ในช่วงฤดูหนาว ดูใบไม้เปลี่ยนสี สัมผัสหิมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมแดนกิมจิ
นายคิม ชังซิล ประธานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ประจำประเทศไทยกล่าวเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนของการท่องเที่ยวเกาหลี มีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนเกาหลีปีละ 570,000 คน และเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ขณะเดียวกันชาวเกาหลีก็เดินทางมาเที่ยวไทยปีละ 1.89 ล้านคน
รัฐบาลเกาหลีและไทย จึงร่วมกันตั้งเป้าหมายปี 2566-2567 ให้คนไทยและคนเกาหลี เดินทางท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้นเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดย KTO ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศความร่วมมือระดับทวิภาคี กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทย (2023-2024 Korea-Thailand Mutual Visit Years) โดยจะมีการโปรโมทและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศตลอดปี
กิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากบริษัททัวร์ไทยและคนไทย เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเปิดรับวัฒนธรรมเกาหลีไม่น้อยไปกว่าญี่ปุ่น การซื้อทัวร์ไปเที่ยวแบบหมู่คณะและการจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเองแบบส่วนตัวในช่วงปลายปีนี้จึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงมาก
แต่ทันทีที่เท้าของนักท่องเที่ยวไทยสัมผัสแผ่นดินฮันกุกและก้าวเข้าเขตตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ในสนามบิน บรรยากาศที่น่ารื่นรมย์กลับเปลี่ยนเป็นมาคุเมื่อเจอความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตม.เกาหลีที่ไม่อยากจะรับแขกจากเมืองไทย หลายคนถูกพาเข้า “ห้องเย็น”ซักไซ้ประวัติ มีการซักถามอย่างเข้มข้นคล้ายการสอบสวนผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิด แสดงอาการเหยียดคนไทย มีคำพูดออกมาว่า “มาเที่ยวเกาหลีหลายครั้งแล้วยังไม่เบื่อเหรอ น่าจะพอแล้ว”
บริษัททัวร์ไทยให้ข้อมูลว่า ตม.เกาหลีใช้วิธีสุ่มตรวจ ใช้ความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนว่าจะปล่อยคนไหน จะกักคนไหน จะปฏิเสธคนไหน ขาดบรรทัดฐาน ส่วนเรื่องกิริยามารยาทนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตม.แต่ละคน
หลักเกณฑ์ที่ตม.อาจจะปฏิเสธการเข้าเมืองคือพาสปอร์ตขาวไม่เคยเดินทางมาก่อนเลย ไม่เคยเข้าเกาหลี หรือในทางกลับกันบางคนเข้าบ่อยเกินไป เดินทางคนเดียว ไม่มีแผนการเดินทาง หรือมีแผนเที่ยวน้อยวัน
สุดท้ายนักท่องเที่ยวไทยหลายคนต้องฝันสลาย ถูกกักตัวและถูกส่งกลับไทยอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดใดๆ เพียงแค่ไม่เป็นที่พอใจของตม.เกาหลี แค่น่าสงสัยว่าจะแอบเข้าไปทำงาน จะหนีทัวร์เป็น “ผีน้อย”
เรื่อง “ผีน้อย”หรือคนไทยที่แอบทำงานในเกาหลีอย่างผิดกฎหมายเคยเป็นข่าวใหญ่หลายครั้งทั้งในสื่อเกาหลีและสื่อไทย มีข้อมูลว่า คนไทยที่ทำงานถูกกฎหมายในเกาหลีมีอยู่ประมาณ 18,000 คน แต่ที่ทำตัวเป็นผีน้อยนั้นมีมากถึง 140,000 คน
ทำไมมีมากถึงขนาดนั้นก็เพราะการเข้าเกาหลีใต้ทำได้โดยง่าย ใช้เพียงแค่หนังสือเดินทาง (Passport) ระยะทางไม่ไกลบินแค่ 5 ชั่วโมง ตั๋วเครื่องบินไม่แพง ราคาทัวร์ก็ถูก ข้อสำคัญคือค่าจ้างแรงงานสูงกว่าในประเทศไทยมาก
คนที่เคยทำงานภาคเกษตรที่เกาหลีบอกว่า โดยเฉลี่ยจะได้ค่าจ้างเดือนละไม่ต่ำกว่า 5หมื่นบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าล่วงเวลาหรือเงินรางวัลอื่นๆ เมื่อกินอยู่อย่างประหยัดจะมีเงินส่งกลับมายังครอบครัวได้อย่างน้อยเดือนละ20,000 –30,000 บาท สามารถปลดหนี้สิน สร้างบ้านซื้อทรัพย์สินและมีทุนทำธุรกิจอย่างอื่นได้
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ยังคิดแต่จะหางบห้าแสนล้านบาทมาแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แทนการสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในชาติทำมาหาเลี้ยงชีพตนเอง จึงมีความจริงส่วนหนึ่งว่าในหมู่คนที่บินเข้าเกาหลีย่อมมีคนที่คิดไปแสวงหารายได้ที่ดีกว่า แทนที่จะอดมื้อกินมื้อ หนี้ท่วมหัวและรอวันอดตายอยู่ในเมืองไทย
ตม.เกาหลีรู้ดีถึงสภาพเศรษฐกิจไทย มีข้อมูลล่วงหน้าของผู้ที่จะเดินทางด้วยระบบ AI ตรวจ K-ETA ของเกาหลี คือ Korea Electronic Travel Authorization Center และแว่วว่ามีแบล็คลิสต์คนไทยจาก 4 จังหวัด ภาคอีสาน ได้แก่ ขอนแก่น ศรีษะเกษ อุดรธานี ยโสธร ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นผีน้อยโดดทัวร์ไปทำงาน
การที่กระแส “แบนเที่ยวเกาหลี” พุ่งแรงในโลกโซเชียลช่วงนี้ก็เพราะตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ตม.เกาหลี ได้ออกเร่งดำเนินการกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยมีข่าวว่าจะดำเนินการต่อเนื่องจนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ซึ่งภาพข่าวที่เผยแพร่ออกมาระหว่างการจับแรงงานเถื่อนก็มักจะเป็นแรงงานไทยนั่นเอง
แรงงานที่ถูกจับจะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 2 ล้านวอน(ประมาณ 53,760 บาท) ถูกขึ้นบัญชีดำ 5-10 ปี และส่งกลับประเทศ
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมในเมื่อคนไทยแอบพักอาศัยและแอบทำงานในเกาหลีมากที่สุดนับแสนคน แต่ทำไมรัฐบาลเกาหลียังให้ฟรีวีซ่า และยังให้สิทธิในความคุ้มครองโทษและส่งตัวกลับโดยไม่ถูกดำเนินคดีภายในประเทศเกาหลี
คำตอบคือรัฐบาลเกาหลีเองอาจจะหลับตาข้าง เปิดตาข้าง เพราะเกาหลีวันนี้มีปัญหาประชากรลดลงถึงขั้นวิกฤติ ผู้สูงอายุเยอะ เด็กเกิดน้อย ขาดแคลนแรงงาน ค่าครองชีพสูง ค่าแรงต้องจ่ายสูง การจ้างแรงงานเถื่อนจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ในสังคมเกาหลีจึงมีทั้งความต้องการแรงงานไทย ขณะที่อีกฝ่ายไม่อยากให้คนไทยเข้าไปแย่งงานทำ หรือยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากต้อนรับคนไทยเลย เพราะเคยมีคดีขนยาเสพติด เคยมีการก่ออาชญากรรม จึงสนับสนุนตม.ให้คัดกรองคนไม่ดีไม่ให้เข้าประเทศ
ปัญหาผีน้อยกับการคัดกรองนักท่องเที่ยวแม้จะดูเป็นคนละเรื่อง แต่เพราะมีตม.เกาหลีรับผิดชอบจึงถูกเชื่อมโยงอย่างไม่อาจแยกจากกัน
การที่คนเกาหลีแสดงอาการเหยียดไทย ก็เพราะคนไทยหลงซึมซับวัฒนธรรมเกาหลี ชอบกินอาหาร คลั่งไคล้ศิลปิน K-POP ดูซีรี่ยส์เกาหลี ลงทุนบินไปเหลาหน้าทำศัลยกรรมความงามให้เหมือนสาวเกาหลี
เพราะคนไทยค่อนข้างเสรี เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก และพร้อมจะเที่ยวทั่วโลก การรณรงค์ให้เลิกเที่ยวเกาหลีใต้นั้นคงยากเพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล คนที่ไม่เจอปัญหาย่อมไม่รู้สึกอะไร แต่ก็พอจะช่วยให้คนที่คิดจะไปต้องไตร่ตรอง จะเสี่ยงเสียเงินซื้อทัวร์ หรือตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ค่าจองโรงแรม แล้วไปวัดดวงว่าจะเจอแจ็คพ็อคให้ ตม.เกาหลีส่งกลับบ้านหรือไม่