Stagflation แค่ฝันร้ายหรือหายนะ
โดย ขุนพล กอเตย
ขณะนี้มีการพูดกันมากว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะ Stagflation หรือภาวะที่เงินเฟ้อขึ้นสูงมากควบคู่กับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ หลังจากที่เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตุกันมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ว่ามีสัญญาณบ่งชี้ว่าไทยกำลังจะเผชิญกับสถานการณ์อันตรายดังกล่าว
ย้อนไปช่วงปลายปี 2564 จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เมื่อถามเรื่องนี้กับนักเศรษฐศาสตร์หลายคน คำตอบคือยังเชื่อว่าไม่น่าจะเกิด Stagflation กับประเทศไทย เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและกระทรวงสาธารณสุขให้ข่าวทุกวันว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเบาบางลงเพราะฉีดวัคซีนกันเยอะมากแล้ว ต่อไปจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนไข้หวัดที่ตายเป็นเบือเหมือนที่ผ่านมา จึงทำให้เชื่อต่อไปด้วยว่าทั้งโลกจะผ่อนคลาย ผู้คนจะกลับมาเดินทางท่องเที่ยว การค้าขายจะคึกคัก เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตตามศักยภาพ ชาวบ้านจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่องเงินเฟ้อและของแพงจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล
ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินไว้เมื่อต้นปี 2565 ก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่าเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบ 1-3% คงประมาณ 1.7% สถานการณ์โควิดสามารถควบคุมได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีประมาณ 3.4% แต่ก็ยอมรับว่ายังมีคนที่เดือดร้อนที่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่รายได้ยังไล่ไม่ทันค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านอาหารสดและพลังงาน และในความเป็นจริงยังมีคนว่างงานกว่า 3 ล้านคน ยังมีคนชั้นกลางที่ร่วมเผชิญปัญหาค่าครองชีพ มีการคาดการณ์ด้วยว่ารายได้ที่ลดลงช่วงโควิดกว่าจะฟื้นกลับต้องใช้เวลายาวนานซึ่งไม่ใช่ปีนี้หรือปี 2566
เศรษฐกิจไทยไม่ได้เจอปัญหาเงินเฟ้อมานาน ช่วง 5 ปีย้อนหลัง พ.ศ.2560-2564 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพียงแค่ 0.57% เฉพาะปี 2564 ที่โลกเริ่มฟื้นตัวจากโควิดราคาน้ำมันเริ่มขยับช่วงปลายปีอัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับ 1.23% นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงวางใจว่าปี 2565 ทั้งปีเงินเฟ้อคงไม่เกิน 2%
ในข้อเท็จจริงบวกกับความรู้สึกของคนไทย เศรษฐกิจไทยนั้นชะงักงันมาพักใหญ่ด้วยปัญหาการเมืองภายใน จนมานิ่งสนิทในปี 2563-2564 ที่โควิด-19 แพร่ระบาดพร้อมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อเนื่องมาถึงปี 2565 ที่แม้จะผ่อนคลายมาตรการแต่ไม่สามารถสร้างความมั่นใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ครั้นเมื่อจรวดลูกแรกจากรัสเซียถูกยิงใส่ยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 การสู้รบที่นึกว่าจะเร็วแต่กลับยืดเยื้อกว่าเดือนเพราะยูเครนได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากกลุ่มนาโต้ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นขาใหญ่ ประกอบกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียที่ลามไปถึงเรื่องการซื้อ-ขาย น้ำมันและก๊าซ จึงกลายเป็นการปั่นราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบทั่วโลก
สหรัฐอเมริกาที่คุยโม้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วแต่เงินเฟ้อเดือนมีนาคมพุ่งถึง 7.9% สูงสุดในรอบ 40 ปีกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ สหราชอาณาจักร ขุนพลอยพยักของเมริกา เจอภาวะเงินเฟ้อ 6.2% สูงสุดในรอบ 30 ปี ประเทศไทยแม้จะอยู่ห่างไกลสงครามยุโรป เงินเฟ้อเดือนมกราคม 3.23 % เดือนกุมภาพันธ์ 5.28% เป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี คาดว่าตัวเลขเดือนมีนาคมมีความเป็นไปได้ที่จะแตะ 6%
ตัวเลขเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการนั้นวัดจากการบริโภคของประชาชนโดยรวม แต่คนที่มีรายได้น้อยมีน้ำหนักการใช้จ่ายด้านอาหารสดและพลังงานสูงกว่าคนที่มีรายได้มาก ตอนนี้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกันว่ารายได้โตไม่ทันค่าครองชีพที่ถีบตัวหนีห่างออกไปทุกวัน
ประชาชนอยู่กับ Fact & Feeling คือความเป็นจริงกับความรู้สึก ระหว่างเงินในกระเป๋ากับราคาสินค้า เศรษฐกิจไม่ดี เจอโควิด 2 ปี ค้าขายไม่ได้ทุนหายกำไรหด เงินเดือนไม่ขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้เพิ่ม แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทุกปี อารมณ์และความรู้สึกของประชาชนคือ “ของแพงค่าแรงถูก” ยังไม่นับเรื่องหนี้ครัวเรือนที่พุ่งมาจ่อคอหอยและกำลังจะท่วมหัว
ปลายเดือนมีนาคมช่วงสิ้นไตรมาสแรก มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยใหม่แล้วว่าตลอดทั้งปีนี้ไม่มีทางเติบโตตามที่คาดหมายไว้แต่ต้นแน่เพราะมีปัจจัยลบรุมเร้ามากมาย สำนักวิจัยบางสำนักปรับลด GDP จาก 3.7% เหลือแค่ 2.5%
แม้จะมีข่าวดีขึ้นมาบ้างว่าการเจรจาสงบศึกระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน น่าจะได้ข้อยุติในเร็ววัน แต่พ่อค้าอาวุธรายใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาคงไม่รามือจากรัสเซียง่ายๆจากการแทรกแซงยูเครน หรือเลิกล้มการคว่ำบาตรเศรษฐกิจรัสเซีย อีกทั้งยังอาจหันกลับมาคิดบัญชีทำสงครามการค้าหนักข้อยิ่งขึ้นกับสาธารณรัฐประชาชนจีน หรืออาจรวมไปถึงอินเดียในฐานะผู้สนับสนุนทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย
คำถามถึงรัฐบาลคือจะรับมือกับ Stagflation อย่างไร?
รัฐบาลยังจะนั่งฝันตามสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโต 3.5-4.5% เพราะเงินเฟ้อแค่ 1.5-2.5% การบริโภคในประเทศจะโต ท่องเที่ยวจะฟื้น ส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องอย่างนั้นหรือ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังฝันว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มจาก 4 แสนคนในปี 2564 เป็น 10 ล้านคนในปี 2565 สร้างรายได้มากกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยไม่คิดว่าจีนยังปิดประเทศ รัสเซียกับยูเครน ต่อให้หยุดรบก็คงไม่มีใจจะเที่ยวเพราะต้องฟื้นฟูบ้านเมืองอีกนาน กลุ่มยุโรปตะวันตกที่เป็นลูกค้าใหญ่ทั้งสมาชิกอียู และนาโต้ ยังอ่วมกับผลกระทบสงคราม ถึงขนาดต้องเตรียมตุนไม้และถ่านเอาไว้จุดไฟแทนก๊าซ รวมถึงบ้านใกล้เรือนเคียงในแถบเอเชียที่พากันอ่อนแรง
นโยบายการเงินการคลังอย่างเดิมๆมาบรรเทาความเดือดร้อนผู้มีรายได้น้อยในประเทศ เช่น คนละครึ่ง ลดเงินสมทบประกันสังคม เที่ยวด้วยกัน ตรึงราคาดีเซลและก๊าซหุงต้ม ย่อมไม่ใช่คำตอบระยะยาว
ปัญหาเงินเฟ้อในยามปกติแก้ไม่ยากในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฎีคือหากเศรษฐกิจร้อนแรงก็แตะเบรกด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่ในยามไม่ปกติที่สินค้าและบริการถูกบีบให้ปรับขึ้นราคาเพราะต้นทุนด้านพลังงาน การขนส่ง หากขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์
รัฐบาลต้องคิดใหม่ในการบริหารจัดการโดยใช้กลไกที่ไม่บิดเบือนตลาด เพราะมิเช่นนั้นต่อไปอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนสินค้า หรือเกิดการกักตุนสินค้า เกิดการเก็งกำไร กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหาและหายนะของรัฐบาลในที่สุด