27/04/2024

มุมมองของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก

มุมมองของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก

ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวมีความทะเยอทะยานอย่างชัดเจนว่าต้องการที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจของพวกเขา อย่างไรก็ตามธูรกิจครอบครัวก็มีปัญหาหลายอย่างที่กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน ดังนั้นจากการที่ PwC ได้ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัว 2,802 รายจาก 50 ประเทศทั่วโลก พบว่าแม้สภาพเศรษฐกิจจะมีความยากลำบากและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ในกลุ่มธุรกิจครอบครัวก็ยังคงมีความคึกคัก ประสบความสำเร็จและทะเยอทะยานอยู่มาก  พวกเขาบอกว่าธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคง มุ่งเน้นในระยะยาวและรับผิดชอบต่อชุมชนรอบข้างและพนักงานของตนเอง นอกจากนี้ยังบอกว่าธุรกิจครอบครัวเป็นหัวรถจักรสำหรับการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมอีกด้วย

ภาพที่ 1

ทั้งนี้การไม่หวั่นไหวต่อความกดดันจากสิ่งรอบข้าง จึงทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถลงทุนสำหรับในระยะยาวและยังมีไอเดียดีๆในเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง  เช่น ตัวอย่างที่คลาสิกของ Patient capital  (เป็นรูปแบบหนึ่งของ Venture Capital ซึ่งไประดมทุนจากผู้ที่มีเงินเหลือใช้ มารวมเอาไว้เป็นกองกลาง แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปจัดการแบ่งเงินออกเป็นหลายก้อน เพื่อลงทุนไปกับกิจการที่ต้องการเงิน (ขาดเงิน ) โดยหวังว่าจะทำกำไรจากการลงทุนเหล่านั้น เมื่อกิจการที่เข้าไปลงทุนนั้นตั้งตัวได้ หรือทำกำไรได้ดีในอนาคต ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ยินดีจะลงทุน และระดมทุนในธุรกิจเพื่อสังคม) และเป็นการถ่วงดุลที่มีค่ามากในระยะสั้นของบรรดาบริษัทมหาชนทั้งหลายและธุรกิจครอบครัวก็ภูมิใจไปกับสิ่งเหล่านี้  ดังนันเมื่อถามถึงข้อดีของธุรกิจครอบครัวเมื่อเทียบกับธุรกิจทั่วไป จึงพบว่า ธุรกิจครอบครัว 77% เชื่อว่าพวกเขาสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจในวงกว้าง ขณะที่ 74% บอกว่าพวกเขาดูแลพนักงานได้ดีกว่า และ 72% เชื่อว่าพวกเขามองความสำเร็จกว้างกว่าแค่กำไรและการเติบโต นอกจากนี้ 55% ยังบอกว่าพวกเขามีมุมมองระยะยาวในการตัดสินใจ และ 71% บอกว่าพวกเขาตัดสินใจได้รวดเร็วกว่าบริษัททั่วไปด้วย (ภาพที่ 1) นอกจากนี้ผู้ถูกสำรวจยังยืนยันถึงข้อดีของการที่พวกเขาสามารถมีการติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรง การตัดสินใจได้รวดเร็วกว่าและการรักษาจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการไว้ได้

อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นเป็นความคิดเห็นในแง่บวกเพียงอย่างเดียวและความจริงแล้วเราพิจารณากันที่ความยืดหยุ่นของกลุ่มธุรกิจครอบครัวด้วย แต่จากการสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าก็พบว่าธุรกิจครอบครัวนั้นขาดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องของการสืบทอดกิจการ โลกาภิวัตน์ และดิจิทัลและนวัตกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก แม้ว่าจะมีธุรกิจครอบครัวบางรายที่มีความยั่งยืนอย่างโดดเด่นให้เห็นบ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วพบว่าธุรกิจครอบครัวอยู่ได้เพียง 3 รุ่น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีเพียง 12% เท่านั้นที่อยู่ได้นานกว่านั้นและมีเพียง 3% เท่านั้นที่ผ่านรุ่นที่ 4 ไปได้ ซึ่งในบางกรณีการขายธุรกิจเป็นทางเลือกที่ต้องพิจารณาและเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถอยู่รอดจากการถ่ายโอนกิจการไปสู่ทายาทรุ่นต่อไปได้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าธุรกิจครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จในการทะเยอทะยานในระยะยาวของพวกเขาก็เป็นได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงต้นสายปลายเหตุกันต่อไปว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องและมีแนวทางแก้ไขกันอย่างไรต่อไป

 

 

PwC พบว่าทายาทรุ่นใหม่ที่เป็นผู้นำธุรกิจครอบครัวนั้นค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญและพวกเขามองอนาคตอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจก็พบว่าทายาทรุ่นใหม่นั้นมีความทะเยอทะยาน มีพลวัตรและเปิดรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  พวกเขาต้องการให้ธุรกิจที่บริหารอยู่มีความแตกต่างจากผู้นำคนก่อนหน้า โดยพวกเขาต้องการเสาะหาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ และตลาดใหม่ๆ อีกทั้งยังสนใจโลเคชั่นใหม่ๆและโมเดลธุรกิจใหม่ๆอีกด้วย โดย 88% ของผู้ถูกสำรวจบอกว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งพิเศษที่จะทำให้เป็นที่รู้จักได้จริงๆ และ 79% มีไอเดียจำนวนมากเกี่ยวกับว่าจะทำให้ธุรกิจก้าวหน้าไปได้อย่างไร ขณะที่ 59% ต้องการสร้างความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เสนอต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามมีถึง 68% ที่เชื่อว่าบริษัทของพวกเขาไม่น่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้แม้ในอีก 10 ข้างหน้า (ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจธุรกิจครอบครัว) ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่าเหตุใด 47% ของทายาทรุ่นใหม่จึงมองหาการลงทุนคู่ขนานไปกับสิ่งที่ธุรกิจหลักทำอยู่ ทั้งนี้ทายาทรุ่นใหม่จำนวนมากในปัจจุบันเป็นคนรุ่น Gen-M หรือ Millennial Generation ที่เข้ามาทำงานด้วยความคาดหวังที่แตกต่าง การจัดลำดับความสำคัญที่แตกต่างและมักมีความคุ้ยเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีอิทธิพลต่อทิศทางในอนาคตของกลุ่มธุรกิจครอบครัว  และพวกเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการเรียนบริหารธุรกิจซึ่งทำให้มีเครื่องมือในการวิเคราะห์สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องนำมาใช้ในการดำเนินกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและการวางแผนในระยะกลาง ซึ่งการถ่ายโอนกิจการที่กำลังจะมาถึงนี้มีความน่าสนใจและมีความสำคัญมากว่าธุรกิจครอบครัวจะดำเนินไปในทิศทางใด เนื่องจากคนที่จะเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจครอบครัวในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมองและคิดแตกต่างจากผู้บริหารในรุ่นปัจจุบันนั่นเอง

ที่มา: PwC.  The ‘missing middle’: Bridging the strategy gap in family firms.  Available: http://www.pwc.com/gx/en/family-business-services/global-family-business-survey/pwc-global-family-business-survey-the-missing-middle.pdf

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *