20/04/2024

โลกของจีน : เส้นทางสายไหมด้านสาธารณสุข

เข้าสู่เดือนพฤษภาคมวันนี้ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศจีนอาจจะรักษาหายและกลับบ้านจนเกือบหมดแล้ว  หากจะเหลือในโรงพยาบาลก็คงแค่หลักร้อยคน  จากยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมดในจีนกว่า 82,800 คน  เสียชีวิตกว่า 4,600 คน

          อาจจะมีความกังวลเรื่องผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการที่สามารถแพร่เชื้อได้ประมาณ 7,000 คน  ที่เกรงว่าจะเกิดสถานการณ์ระบาดในวงกว้างอีกครั้งเมื่อจีนเปิดเมืองให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตทำมาหากินกันอีกครั้ง  แต่ประสบการณ์ของการปิดเมืองปิดประเทศ 3 เดือนจนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้  ทำให้จีนมั่นใจว่าจะต่อสู้กับโรคร้ายได้

           COVID-19 ทำให้โลกต้องมองจีนในมุมใหม่  ต้องศึกษาด้านสาธารณสุขของจีนให้ลึกซึ้ง

          70ปีที่ผ่านมาโลกได้ประจักษ์แล้วว่าจีนเปลี่ยนตัวเองจากชาติที่เคยยากจนข้นแค้นและล้าหลังจากเทคโนโลยีแบบสุดๆ  กลายมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกในทางเศรษฐกิจ  เป็นอัน 1 ด้านคมนาคมขนส่ง  เป็นอันดับ 1 ด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร  และวันนี้คนครึ่งโลกเข้าใจว่าจีนน่าจะเป็นอันดับ 1 ด้านสาธารณสุขไปแล้ว

             คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจีนสามารถสร้างเครือข่ายการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมประชากร 1,400 ล้านคน  ทั้งคนเมืองและคนชนบทซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก  แท้จริงแล้วจีนมีระบบประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน  โดยวัดความสำเร็จได้จากอายุเฉลี่ยชาวจีนจากแค่ 35 ปีเมื่อ 70 ปีก่อน  เป็น 77 ปีในปัจจุบัน

           รัฐบาลจีนประกาศนโยบายให้ถือเอาสุขภาพประชาชนเป็นตัววัดความเจริญของชาติ  ตอนไวรัสโคโรน่าระบาดใหม่ๆ  ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ประกาศว่าเลือกรักษาชีวิตคนไว้ก่อน  เศรษฐกิจเอาไว้ทีหลัง

            ความรวดเร็วฉับไว เด็ดขาด บวกกับความร่วมมือร่วมใจของประชาชน  ทำให้จีนผ่านพ้นวิกฤติในเวลาเพียง 3 เดือนกลับมาสู่ภาวะปกติพร้อมกับส่งออกความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขไปทั่วโลก 

             โครงการ 1 แถบ 1 เส้นทาง ( One Belt, One Road) หรือเส้นทางสายไหมยุคใหม่ของจีนที่หยุดชะงักและบางคนว่าอาจจะล้มเลิกไปเลย  วันนี้จะได้รับการขับเคลื่อนต่อพร้อมกับคำใหม่คือ “เส้นทางสายไหมด้านสาธารณสุข”  คือนอกจากจะเชื่อมโลกด้านการค้าการลงทุนด้วยระบบขนส่งทางทางบก เรือ อากาศแล้ว  ยังเชื่อมต่อด้วยระบบสาธารณสุขซึ่งเป็นประสบการณ์จาก COVID-19

             แน่นอนว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางด้านการเมืองของจีน  แต่นานาชาติย่อมพร้อมรับความช่วยเหลือและการแบ่งปันแลกเปลี่ยนด้านวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ไม่อาจปฏิเสธ

           กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ระบุว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ฉุดเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี  โดยปีนี้ปริมาณการผลิตโลกจะลดลง 3%

           แต่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาจีนประกาศว่าได้ส่งออกเวชภัณฑ์แล้วเป็นมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท) อาทิ หน้ากากอนามัย  แว่นครอบตานิรภัย ชุดป้องกัน เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟาเรด  ชุดทดสอบไวรัส  เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น

           นับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาด ความต้องการเวชภัณฑ์ทั่วโลกพุ่งสูงโดยแหล่งผลิตใหญ่ของโลกคือจีน  ข้อมูลจากทางการจีนเมื่อต้นเดือนเมษายนระบุว่า  ปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยของจีนสูงสุด 116 ล้านชิ้นต่อวัน หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ N95 จำนวน 3.4 ล้านชิ้นต่อวัน  ชุดป้องกันทางการแพทย์มากกว่า 1.5 ล้านชุดต่อวัน

           องค์การเภสัชกรรม ของไทยก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งที่สั่งซื้อหน้ากากอนามัย N95 จำนวน 400,000 ชิ้น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลหรือ PPE  400,000 ชุดจากจีน ในวงเงิน 660 ล้านบาท

           จีนสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส  ต่อสู้กับโรคภัย  กลายเป็นชาติผู้นำในการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ส่งความช่วยเหลือนานาประเทศร่วมกอบกู้โลกจากมหัตภัยพร้อมๆกับทำการค้าหากำไรกลับประเทศ

           แต่สหรัฐอเมริกาที่อยู่อีกฝั่งของซีกโลกกลับทิ้งโอกาสทอง 

           ในเดือนมกราคมขณะที่จีนเผชิญวิกฤติ  อเมริกานั่งมองพร้อมเยาะเย้ยถากถาง  แถมยังซ้ำเติมว่า “ไวรัสจีน” เป็นตัวการแพร่เชื้อไปทั่วโลก  วันนี้จีนหยุดโรคได้ที่ยอดผู้ติดเชื้อหลักหมื่น  สี จิ้นผิง สั่งเปิดเมืองเร่งการผลิตส่งเวชภัณฑ์ไปขายทั่วโลก      

             มองไปที่สหรัฐอเมริกาวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อกำลังวิ่งไม่หยุดสู่หลักล้านคน  ทั่วประเทศมีแต่ความโกลาหล  แต่ละรัฐต้องสั่งปิดเมืองท่ามกลางเสียงคัดค้านการประท้วงของคนอเมริกันบางส่วนที่ยังต้องการเสรีภาพในการใช้ชีวิต  เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังตลอด 24 ชั่วโมง  แต่ไม่อาจกลบเสียงร่ำไห้ของชาวอเมริกันที่สูญเสียญาติพี่น้องในทุกนาที

              ความเป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ที่กลายเป็นประเทศที่ติดเชื้อและตายมากที่สุดในโลก  สะท้อนถึงความประมาทความไม่พร้อมในการรับมือ  เมื่อปรากฏการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ถึงขนาดต้องขอบริจาคจากจีน  แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือความเห็นแก่ตัวของรัฐบาลอเมริกาที่กักของไม่ให้ส่งไปประเทศที่กำลังเดือดร้อน  ทั้งยัง “ปล้นกลางอากาศ”ชิงตัดหน้าเวชภัณฑ์จากประเทศอื่นจนถูกด่าให้เป็นที่น่าอับอาย

            หน้าที่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันนี้คือนับยอดผู้เสียชีวิตในแต่ละวันและมองหา “หลุมฝังศพ” ขนาดใหญ่ให้กับชาวอเมริกัน

โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

หมายเหตุ : ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์  ปีที่ 13 ฉบับที่ 331 วัที่ 1-15 พฤษภาคม พ.ศ.2563

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *