โลกของจีน : จีนกำลังฟื้นไข้ โลกกำลังบรรลัย
ถ้าเปรียบเทียบกับ TRADE WAR หรือ สงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาพยายามหาเรื่องถล่มจีน อ้างสารพัดเรื่องมาตั้งกำแพงภาษีเพื่อสกัดกั้นสินค้าจีนที่ส่งออกไปขายทำกำไรทั่วโลกโดยเฉพาะในตลาดอเมริกาที่คนอเมริกันก็ไม่ปฏิเสธของดีราคาถูก
แต่อเมริกาขาดดุลการค้าบักโกรก จนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ประกาศนโยบาย AMERICA FIRST “กูต้องเป็นใหญ่ ใครค้าขายเอากำไรกูไม่ได้”
ทรัมป์นึกว่าวันนี้เหมือนในอดีตที่อยากจะใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ข่มเหงใครก็ได้ ฝันว่าจะดีดนิ้วสั่งจีนได้ง่ายๆ แต่ลืมไปว่าจีนวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แม้จะได้รับผลกระทบแต่จีนก็พร้อมจะสู้ ขณะที่ระบบการค้าโลกพากันอกสั่นขวัญหายกับผลกระเทือนที่จะตามมาหากสองมหาอำนาจโลกทำสงครามการค้ากันแบบเต็มกำลัง
กระนั้นก็ตามสงครามการค้ากลายเป็นเรื่องเล็กไปทันใดเมื่อไวรัส COVID-19 แผลงฤทธิ์แบบไม่คาดฝัน แบบไม่ทันตั้งตัว เพราะรวดเร็ว รุนแรง ตอนนี้ลามเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก นอกจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่รับไปเต็มๆในด่านแรกจากบริษัททัวร์ สายการบิน โรงแรมที่พักทุกระดับขาดทุนกันถ้วนหน้าเพราะนักท่องเที่ยวหดหาย มาถึงด่านนี้ก็เริ่มส่งผลต่อในภาคการผลิต การค้าระหว่างประเทศ และภาคบริการ
เพราะจากจีนที่เป็นจุดกำเนิดของไวรัส จีนยังเป็นฐานการผลิตใหญ่ของโลก ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งป้อนวัตถุดิบของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมไปยังนานาประเทศทั่วโลก ช่วงที่จีนปิดเมือง ปิดโรงงาน หยุดการผลิตเพื่อสกัดกั้นไวรัส นานาประเทศยังพอมีสต๊อกหรือหันไปสั่งจากแหล่งอื่นได้ แต่พอไวรัสแพร่กระจายไปทั่วโลก ก็ย่อมส่งผลในลักษณะเดียวกันกับที่เคยเกิดในจีนคืออาจจะต้องหยุดผลิต ปิดโรงงานชั่วคราว แล้วใครจะซื้อใคร ใครจะขายใคร
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของจีนประเมินว่า GDP ของจีนปีนี้ทั้งปีจะลดลงแน่ 0.5-1 % โดยช่วงต้นปีมีผลกระทบมาก เมื่อสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสได้ก็จะฟื้นตัวใมนช่วงปลายปี
สอดคล้องกับ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ IMF ที่แถลงคาดการณ์เมื่อเร็วๆนี้ว่า เศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกของปีนี้ได้รับผลกระทบจากCOVID-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มลดน้อยลง จำนวนคนหายป่วยเพิ่มมากขึ้น ภาคการผลิตเริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งและน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายเดือนมีนาคม
สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ประมาณ 40 คน จากเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ตอบในทิศทางเดียวกันว่า COVID-19 ไม่มีผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน เศรษฐกิจจีนยังจะไปได้ดีและจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่สอง และเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
บางคนยังเชื่อด้วยซ้ำว่าหลังการฟื้นตัว เศรษฐกิจจีนยังจะก้าวทะยานอย่างรวดเร็วกว่าเก่าแบบก้าวกระโดด เพราะจีนได้รับบทเรียนอันมีค่าหลายๆด้าน ได้มีโอกาสสร้างนวัตกรรมใหม่ๆมากมายในช่วงวิกฤติ ได้มีโอกาสจัดระเบียบเรียกความพร้อมระบบราชการ ตรวจสอบความสมัครสมานสามัคคีของประชาชนในชาติ เสมือนได้เรียนรู้เคล็ดวิชาบทใหม่ที่จะทำให้จีนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นักวิชาการจีนท่านหนึ่งกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคครั้งนี้เป็นบทเรียนใหม่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจีนในยุคต่อไป รวมถึงการปฏิรูปธุรกิจและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ หลังจากการแพร่ระบาดของโรคจบสิ้นลงแล้วอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรทางสังคม มีรูปแบบใหม่ทางเศรษฐกิจและธุรกิจเกิดขึ้นอีกมากมาย และนั่นอาจนำจีนไปสู่การพัฒนาถึงขีดสูงสุดรอบใหม่ก็เป็นได้
น่าสังเกตุว่าในจังหวะที่จีนสามารถควบคุมไวรัสในบ้านตัวเองได้สำเร็จ และกำลังพูดถึงการฟื้นตัวกับการเดินต่อไปข้างหน้า นานาประเทศ(รวมทั้งไทย)ต่างยังอยู่ในภาวะแตกตื่นกับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มจำนวนขึ้น การวิ่งหาหน้ากากป้องกันตัวเอง การนั่งดูธุรกิจที่กำลังพัง และความรู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคต
โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อปท.นิวส์ ฉบับที่328 ปีที่13 วันที่16-31มีนาคม พ.ศ.2563