เกาหลีไม่เลิกเหยียดไทย แบนแล้ว…แบนอีก…แบนต่อไป
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) เคยระบุว่า ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนของการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวไทยเคยไปเยือนเกาหลีใต้ปีละ 570,000 คน สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน
แต่นับจากปลายปี 2566 ที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ของเกาหลีใต้ออกมาตรการกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมาย พร้อมๆกับใช้มาตรการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องสงสัยว่าจะแอบเข้าไปทำงานมากกว่าไปท่องเที่ยว ปรากฏว่านักท่องเที่ยวไทยถูกกักตัวเข้าห้องเย็นที่สนามบินและถูกส่งกลับเป็นจำนวนมากอย่างไร้เหตุผลทั้งๆที่ทุกคนได้ลงทะเบียนผ่านระบบ K-ETA (Korea Electronic Travel Authorization Center) ของเกาหลีแล้วก่อนเดินทาง
ปลายปีที่แล้ว “ปลายซอย17” เคยเขียนถึงปัญหานี้มาครั้งหนึ่ง โดยตอนนั้นบริษัททัวร์ไทยให้ข้อมูลว่า ตม.เกาหลีใช้วิธีสุ่มตรวจ ใช้ความรู้สึกส่วนตัวของเจ้าหน้าที่แต่ละคนว่าจะปล่อยคนไหน จะกักคนไหน จะปฏิเสธคนไหน ขาดบรรทัดฐานและไม่มีการชี้แจงเหตุผล
ส่วนสาเหตุใหญ่คือปัญหาดั้งเดิมเรื่องเรื่อง “ผีน้อย”หรือคนไทยที่แอบทำงานในเกาหลีอย่างผิดกฎหมายเคยเป็นข่าวใหญ่หลายครั้งทั้งในสื่อเกาหลีและสื่อไทย มีข้อมูลว่า คนไทยที่ทำงานถูกกฎหมายในเกาหลีมีอยู่ประมาณ 18,000 คน แต่ที่ทำตัวเป็นผีน้อยนั้นมีมากถึง 140,000-160,000 คน จากจำนวนแรงงานผิดกฎหมายทุกสัญญาตประมาณ 400,000 คน
ปฏิบัติการส่งกลับนักท่องเที่ยวไทยอย่างไม่ไว้หน้าของตม.เกาหลีตอนนั้นก่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้กลับของคนไทยที่พร้อมใจกันรณรงค์ “แบนเกาหลี” เมื่อเกาหลีไม่ให้ต้อนรับก็ไม่ต้องไปเที่ยว ยังมีอีกนับร้อยประเทศทั่วโลกให้ไปเยือน ซึ่งกระแสแบนเกาหลีดังกล่าวได้ผลอย่างน่าประทับใจเพราะนับจากปลายปี 2566 ถึงปัจจุบันกันยายน 2567 พบว่าจำนวนคนไทยไปเกาหลีใต้ลดลงอย่างเด่นชัด สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวนานาประเทศที่ยังหลงเดินทางเข้าเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น
สำนักข่าวThe Korea Times รายงานว่าจากกรณีที่คนไทยแบนเกาหลี ลดการท่องเที่ยวเกาหลีต่อเนื่องช่วง 7 เดือนของปี 2567 มีผลให้มัคคุเทศก์ และล่ามส่วนหนึ่งไม่มีงานทำ แหล่งข่าวในวงการท่องเที่ยวเกาหลีเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีใช้มาตรการคัดกรองผู้เข้าเมืองชาวไทยอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน ไม่ใช่แบบเดาสุ่มแล้วส่งกลับอย่างไม่มีเหตุผลจนเกิดความรู้สึกต่อต้านเกาหลีอย่างรุนแรงและบานปลาย
เป็นที่น่าสังเกตว่าปัญหาตม.เกาหลีกับนักท่องเที่ยวไทยเกิดขึ้นจนถึงวันนี้ร่วมหนึ่งปี แม้จะมีการเจรจากันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีบอกว่าไม่มีนโยบายปฏิเสธคนไทย กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวของเกาหลีเชิญชวนคนไทยกลับไปเที่ยว แต่กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีบอกว่าเป็นหน้าที่ของตม.ที่ต้องเข้มงวดเพราะคนไทยลักลอบพำนักในเกาหลีแบบผิดกฎหมายมากที่สุด
นี่คือคำตอบว่าทำไมปัญหายังเหมือนเดิม หรืออาจจะหนักกว่าเดิม ตม.เกาหลียังคงใช้กระบวนการคัดกรองแบบไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะกับคนไทยนั้นเหมือนมีอคติ เหมือนมีเป้าในการส่งกลับ เดาสุ่ม ไม่มีเหตุผล ทำตามอำเภอใจ แม้จะฟรีวีซ่า กรอกแบบฟอร์ม K-ETA ผ่าน แต่ล่าสุดพอนักท่องเที่ยวไทยเดินทางถึงสนามบิน ตม.เรียกไปถามว่าโรงแรมที่ไปพักมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร โคตรพ่อโคตรแม่ใครจะตอบได้ สุดท้ายส่งกลับไทย
ความจริงเรื่อง “ผีน้อย”นั้นก็เพราะเกาหลีเองต้องการแรงงานไทยซึ่งเป็นแรงงานที่ดีกว่าหลายชาติ นายจ้างพอใจที่จะจ้างทำงานเพราะทำงานดี ไม่เรื่องมาก สามารถกดค่าจ้างได้ ไม่เช่นนั้นจะไปอยู่ได้ยังไงตั้ง 160,000 คน ถ้าไม่มีนายจ้าง สะท้อนการหลับตาของรัฐบาลเกาหลีและความหย่อนยานของการตรวจแรงงาน เหมือนกับไทยนั่นแหละที่มีแรงงานเถื่อนจากลาว เมียนมา กัมพูชา เต็มบ้านเต็มเมืองนับล้านคน
การที่รัฐบาลเกาหลีไม่สั่งแก้ปัญหา ตม.เกาหลีที่สร้างพฤติกรรมมีอคติกับนักท่องเที่ยวไทย ลึกๆก็เพราะเกาหลีไม่แคร์คนไทย คนเกาหลียังเหยียดไทย คนเกาหลีรุ่นปัจจุบันไม่สำนึกบุญคุณไทยที่เคยช่วยประเทศเกาหลีในยามยาก แถมยังซ้ำเติมไทยยังสมน้ำหน้าคนไทยที่ประสบอุทกภัยในขณะนี้
ช่วงหลังโควิดที่นักท่องเที่ยวหดหาย ตอนนั้นเกาหลีแทบอุ้มนักท่องเที่ยวไทย แต่วันนี้เกาหลีไม่แคร์แล้วเพราะมีแค่ไทยที่เลิกเที่ยวเกาหลี ขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก คนเกาหลีส่วนใหญ่คงยิ่งยินดีที่จะต้อนรับชาวอเมริกัน ชาวยุโรปที่เขาเทิดทูนบูชาว่ามีวัฒนธรรมชั้นสูง มีกำลังซื้อดีกว่าไทยหลายเท่า ส่วนคนไทยนั้นไร้เงินจึงต้องแอบมาหางานในบ้านเขานับแสนคน แถมยังสร้างปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด โสเภณี
แม้แต่สื่อมวลชนที่ควรมีจรรยาบรรณในการเสนอข่าวสาร แต่สื่อเกาหลียังจับประเด็นนี้มาตีกลับประเทศไทย มาวิพากษ์วิจารณ์ว่าประเทศไทยเทียบไม่ติดกับเกาหลี พัฒนาล่าช้าล้าหลังเกาหลี
คนไทยไม่ได้ลำเลิกบุญคุณแต่จำกันได้ดีว่ายุคสงครามเกาหลี คนเกาหลีอดอยากยากแค้น ประเทศไทยใจบุญส่งข้าวไปให้กิน ส่งทหารไปช่วยรบนับหมื่นนายและเอาชีวิตไปทิ้งที่เกาหลีนับร้อยนาย จนได้รับการยกย่องเชิดชูในวีรกรรม แต่นั่นคืออดีตที่คนเกาหลีในปัจจุบันได้ลบทิ้งไปแล้ว
แม้ในยุคปัจจุบันจะมีคนไทยไปร่วมในวงการบันเทิงเกาหลีวงเกิร์ลกรุ๊ป วงบอยแบนด์ อย่าง ลิซ่า นิชคุณ แบมแบม ช่วยสร้างสีสันช่วยปั๊มเงินให้ธุรกิจเกาหลีเพราะสามารถสร้างแฟนคลับในเมืองไทยไม่น้อย แต่ลึกๆแล้วคนเกาหลียังเหยียดคนไทย เหยียดคนเอเชียด้วยกันโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เพราะเกาหลีคิดว่าตัวเองเหนือกว่า ขาวกว่า เจริญกว่า พัฒนากว่า เป็นชาติอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว
เกาหลีอาจจะไม่แคร์ไทย แต่เกาหลีคงต้องถามใจ “ชาวอาเซียน” เพราะตอนนี้ใช่แค่คนไทยที่คิดจะแบนเกาหลี เมื่อในโลกโซเชียลก็ออกมาร่วมวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรรมเกาหลี เกิดกระแส “อาเซียนร่วมใจแบนเกาหลี” ร่วมแชร์ข้อมูลว่าคนเกาหลีหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเหนือกว่า การศึกษาดีกว่า เหยียดชาวอาเซียน แม้จะเข้าไปทำงานไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ แม้จะพูดเกาหลีได้ แต่ถ้าเห็นผิวสีแทนหรือเข้มกว่า รู้ว่ามาจากอาเซียนก็จะมองหัวถึงตีน มองเป็นมนุษย์ชั้นสอง ให้ค่าตอบแทนที่แตกต่าง บางรายโดนบูลลี่ในที่ทำงาน
วงการบันเทิงหรือ K-POP ที่เคยสร้างความนิยมเคยสร้างเม็ดเงินให้เกาหลี วันนี้เราเริ่มเห็นความตกต่ำเมื่อทั่วโลกเริ่มเอือมระอา ซีรี่ยส์ดังแดจังกึม ที่ขายวัฒนธรรมอาหารเกาหลี กังนัมสไตล์ วงเกิร์ลกรุ๊ป บอยแบนด์ ที่เคยสร้างแฟนคลับ เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าเกาหลี วันนี้กลายเป็นความซ้ำซาก เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงต้องการความแปลกใหม่ ตลาดอื่นเริ่มพัฒนาขึ้นมาแข่งขัน
ตราบใดที่รัฐบาลเกาหลีทำแค่แสดงความเสียใจแต่ไม่ขอโทษคนไทย ไม่แก้ไขมารยาทของตม.เกาหลี ไม่เลิกตั้งป้อมกักตัวแล้วส่งกลับนักท่องเที่ยวไทยอย่างไร้เหตุผล ก็สมควรที่คนไทยจะเลิกไปเที่ยวเกาหลี เลิกกินอาหารเกาหลี เลิกซื้อสินค้าเกาหลี เลิกสนับสนุนทุกอย่างจากเกาหลี ในเมื่อเกาหลีไม่มีคนไทยอยู่ในสายตา
ถ้าชาวเกาหลีอยากจะมาเที่ยวไทยเรายินดีต้อนรับ เพราะแสดงว่าคุณไม่รังเกียจเรา คุณยอมรับวัฒนธรรมไทย แต่ถ้าถามว่าจะไปเที่ยวเกาหลีไหม คนไทยขอบตอบว่า “แบนแล้ว…แบนอีก…แบนต่อไป”