หลัก 6 ประการเชื่อมไทย-จีน ก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาการแลกเปลี่ยนแนวคิดยุทธศาสตร์การบริหารประเทศจีน-ไทย “การพัฒนาอย่างสันติภาพก้าวสู่ความเจริญร่วมกัน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 49 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน จัดโดย สมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน ร่วมกับ ศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไทย-จีน ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ศูนย์สื่อสารเอเชียแปซิฟิก สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน สนับสนุนโดย The Leader Asia และสื่อพันธมิตร เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2567 ห้องประชุม อาคารเอนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
เราได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนที่แน่นแฟ้นขึ้นเกือบทุกมิติในตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สิ่งที่สำคัญที่เชื่อว่าทุกคนตระหนักคือ แม้ว่าความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรแต่ปัจจุบันและอนาคตก็มีความท้าทายที่สร้างความกังวลให้กับพี่น้องไทยและจีน จะว่าไปแล้วก็คือชาวโลกทั้งโลกในปัจจุบัน
ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่เฉียบพลันกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ปัญหาโลกร้อนซึ่งแม้จะมีความพยายามในการสร้างความตระหนักรู้มาต่อเนื่องยาวนาน แต่ก็ยังมีสัญญาณอยู่ตลอดเวลาว่าเราก็ยังช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ไม่ทันการณ์
ที่สำคัญที่สุดคือสิบกว่าปีที่ผ่านมาหลังจากวิกฤติการเงินโลก เราต้องเผชิญปัญหาเรื่องของโรคระบาด และปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในภูมิภาคใดก็ตาม ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน รวมไปจนถึงปัญหาที่เราเรียกกันว่า “ความตึงเครียด” หรือความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อได้รับมอบหมายให้มาแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันประสบการณ์ในการบริหารประเทศ สิ่งที่จะแบ่งปันก็คงเป็นในเชิงของหลักคิดที่เน้นไปในเรื่องของนโยบายในแง่ของความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะว่า จริงอยู่เราสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์การบริหารของแต่ละประเทศและสังคมได้ แต่เราก็ยอมรับในแง่ของความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งทำให้การนำเอาบทเรียนของการบริหารจัดการในประเทศหนึ่งมาใช้กับอีกประเทศหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้แบบสำเร็จรูป
ผมประทับใจเสมอว่า วันหนึ่งมีโอกาสไปร่วมสัมมนาหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางที่ประเทศจีน ท่ามกลางความสำเร็จและการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีน ท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวเอาไว้ว่า ความสำเร็จของจีนนั้นไม่ได้นำเข้ารูปแบบของการพัฒนามาจากที่ใด และไม่ได้ปรารถนาหรือคิดที่จะส่งออกรูปแบบของการพัฒนาเช่นนี้ด้วย
แล้วการดำเนินนโยบายในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือความร่วมมือระหว่างประเทศควรมีหลักการสำคัญอะไรบ้าง
ประการแรก อยากให้เราตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าความสำเร็จในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ดีหรือการขจัดความยากจนก็ดี ปัจจัยสำคัญคือกระแสโลกาภิวัฒน์ ในกระแสที่ว่า ประเทศต่างๆเปิดตัวเองเข้าหาโลกมากขึ้นและสามารถค้นพบโอกาสทางเศรษฐกิจและทางอื่นๆมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เราอาจจะไม่ใส่ใจมากนัก แต่เมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าการขยายตัวของการค้าโลกก็ดี หรือการลงทุนระหว่างประเทศก็ดี มีแนวโน้มลดลง มีการกล่าวขานถึงขั้นว่าเรากำลังจะถอยหลังในเรื่องของโลกาภิวัฒน์
จึงอยากจะเห็นทุกประเทศเดินหน้าเปิดประเทศเข้าหากัน สนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการเชื่อมโยงระหว่างประเทศมากขึ้น เพราะนั่นคือการสร้างโอกาสให้กับทุกคน และจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการพัฒนาทรี่ผ่านมาสามารถดำเนินต่อไปได้
เราต้องระมัดระวังไม่ให้ความขัดแย้ง ปัจจัยอื่นๆที่อาจจะกลายเป็นข้ออ้าง เช่นเรื่องของความมั่นคงมาทำให้กระบวนการในเรื่องของการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลดลง และกระทบต่อการมีห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ
ประการที่สอง เมื่อเราเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่ละประเทศมีระบบระบอบไม่เหมือนกัน สิ่งที่ทุกประเทศพึงยึดถือคือกติกาสากล นั่นหมายถึงการสนับสนุนให้องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานในแบบพหุภาคีมีความเข้มแข็ง ให้การมีส่วนร่วมของประเทศต่างๆในองค์กรเหล่านี้มีความหมายในการสะท้อนความต้องการของแต่ละประเทศอย่างแท้จริง และพึงเคารพกระบวนการของการตัดสินใจขององค์กรเหล่านี้ เพราะถ้าเราไม่สนับสนุนการทำงานขององค์กรเหล่านี้ กลับกลายเป็นว่าการดำเนินนโนบายความร่วมมือระหว่างประเทศ บางประเทศสามารถที่จะเลือกที่จะเคารพกฎเกณฑ์กติกาสากล หรือไม่เคารพก็ได้ อันนี้จะเป็นอัตรายเพราะจะเป็นการทำลายความไว้ใจ ความเข้าใจซึ่งกันและกันในประชาคมโลก
ประการที่สาม ความร่วมมือในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งที่ต้องส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เราจะพบเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าด้วยความแตกต่างในเรื่องของระดับการพัฒนาวิถีชีวิต วัฒนธรรม หลายครั้งความร่วมมือที่ไกลไปจากประเทศของตนก็เป็นเรื่องยาก แต่ความร่วมมือระดับภูมิภาคสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างหรือการขยายความร่วมมือที่จะกระจายออกไป
อาเซียนกับจีนมีความผูกพันกันมานาน การทำงานร่วมกัน รวมทั้งการดำเนินนโยบายความร่วมมือต่างๆกับประเทศสมาชิกในอาเซียน หากใช้เวทีอาเซียนให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มพลังของความร่วมมือทางด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
ประการที่สี่ เมื่อจะต้องมีการแสวงหาความร่วมมือระดับทวิภาคี สิ่งสำคัญคือ การเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน การมองเห็นว่าเรามีอนาคตตและผลประโยชน์ร่วมกัน หลายท่านพูดตรงกันว่า สิ่งสำคัญคือการดึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มาสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน จึงไม่ใช่เรื่องของนโยบายภาครัฐเพียงอย่างเดียว สื่อมวลชน ภาควิชาการ เยาวชน ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ประการที่ห้า การดำเนินนโยบายเพื่อสร้างความร่วมมือ ต้องเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน จริงอยู่ความร่วมมือหลายด้านเราอาจจะบอกว่า ทุกฝ่ายได้หมด แต่ความร่วมมืออีกหลายด้านก็ส่งผลกระทบในทางลบไม่มากก็น้อย กับคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย แต่หมายความว่าความร่วมมือที่ดีที่ยั่งยืน คือความร่วมมือที่คำนึงถึงผลกระทบในเชิงลบ และช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม หรือความไม่เข้าใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้น ความเข้าอกเข้าใจกับมิตรประเทศ กับคู่เจรจาถือเป็นสิ่งสำคัญ
ประการสุดท้าย ความร่วมมือที่จะนำไปสู่ความเจริญ สันติภาพอย่างยั่งยืนคือความร่วมมือที่ผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ภูมิภาคนี้หรือในเอเชีย ล้วนแต่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาโดยตลอด และบางครั้งก็ยากที่จะสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้กับประเทศในภูมิภาคอื่น
ด้วยความแน่นแฟ้น ความใกล้ชิดระหว่างจีนกับไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศเข้าสู่โลก จากการเคารพกติกาสากล จากการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค จากความพยายามเข้าใจที่ดีให้เกิดภาพของอนาคตร่วมกัน จากการเข้าอกเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในความร่วมมือต่างๆ และสำคัญที่สุดจากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ผมมั่นใจว่าความร่วมมือในอนาคตระหว่างไทย-จีน ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และมิติอื่นๆ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของโลกก็สร้างโอกาสใหม่ๆขึ้นมามากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และมิติอื่นๆของความร่วมมือ หากเราดำรงหลักการความร่วมมือเช่นนี้ มั่นใจว่าเราจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่มีสันติภาพ และการพัฒนา นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน