อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร นายกฯหญิงคนที่ 31
ต้องเรียกว่าเป็นการ “พลิกล็อค”จากที่นักวิเคราะห์วิจารณ์การเมืองทั้งหลายที่พากันฟันธงไว้ล่วงหน้าว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะรอดพ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ด้วยเสียงข้างมากโดยดูจากเสียงข้างมากของตุลาการที่ปล่อยให้นายเศรษฐาไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างพิจารณาคดี หรือจากน้ำหนักของข้อกล่าวหาเรื่องจริยธรรมที่ยากจะเอามาตรฐานใดมาวัด
แต่สุดท้ายด้วยมติ 5 ต่อ 4 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าการกระทำของนายเศรษฐา จากกรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 27 เมษายน 2567 และแม้นายพิชิตจะลาออกไปแล้วเมื่อ 21 พฤษภาคม 2567 แต่ถือเป็นความผิดสำเร็จ เข้าข่ายเป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาสิ้นสุดลง และยังมีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นตำแหน่งไปด้วย
คดีนี้สืบเนื่องมาจากประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 )หรือไม่ จากกรณีนายเศรษฐาได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนเมื่อปี 2551 ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาสิ้นสุดลงได้
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ด้วยคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลให้นายเศรษฐา กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่ได้นั่งเก้าอี้ 358 วัน นับจากวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2567 โดยหลุดขาดจากตำแหน่ง ไม่มีโอกาสแม้จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอย่างที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเคยบอกกล่าวกับสื่อมวลชนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีอันดับที่ 1 จะขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการแทน
อย่างไรก็ตามแม้นายเศรษฐาจะหลุดพ้นจากภารกิจนายกรัฐมนตรีที่เคยถูกแซะว่าเป็นนายกฯเซลล์แมน หรือนายกฯหุ่นเชิด แต่อาจจะยังไม่พ้นความรับผิดชอบทางกฎหมาย เพราะอาจโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินคดีต่อโดยเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปเป็นบรรทัดฐาน เช่นเดียวกับที่อดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล โดนเล่นเรื่องยื่นแก้ไขมาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยป.ป.ช.จะส่งเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต หรืออาจผิด ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อัตราโทษถึงจำคุก
อดีตนายกฯเศรษฐา หลังจากตรากตรำงานมาเกือบ 1 ปีเต็ม น่าจะรู้รสชาติของการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วว่า เกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลที่ได้มากับการแบกรับภาระของประเทศ แบกรับความทุกข์ยากของประชาชน โดยที่ตนเองไม่มีอำนาจเด็ดขาดสั่งการเหมือนสมัยเป็นซีอีโอของบริษัทมหาชน มีเจ้าของพรรคที่คอยบัญชาการอยู่นอกทำเนียบ มีหัวหน้าพรรคที่อ่อนด้อยทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ มีการเจรจาการเมืองลับหลังที่สนามกอล์ฟ
และที่เจ็บแสบที่สุดคือต้องหลุดจากเก้าอี้นายกฯโดยถูกจารึกและจดจำว่า “เป็นนายกฯที่ไม่มีจริยธรรม”เพราะไปแต่งตั้งอดีตทนายถุงขนมเป็นรัฐมนตรี ทั้งๆที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “ใคร”เป็นคนยัดชื่อใส่มือมาแต่ปฏิเสธไม่ได้นั้น คุ้มค่ากันหรือไม่
การที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยต้องกระเด็นจากเก้าอี้ครั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าเพราะถูกเล่นงานจากอดีต 40 สว.สายลุงป้อมแห่งบ้านป่ารอยต่อ ดังนั้นจึงคาดกันว่างานนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงเสียงจริง คงต้องยอมวางภารกิจเลี้ยงหลานกลับมาบัญชาการพรรคอย่างจริงจัง นั่นคือการ “ล้างกระดาน”ทั้งการวางตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ปรับพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ และปรับคณะรัฐมนตรีใหม่
เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ดังมาเป็นเดือนคือการเขี่ยพรรคพลังประชารัฐ ของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีอยู่ 40 เสียงออกไปเป็นฝ่ายค้าน แล้วดึงพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่มี 25 เสียงเข้ามาร่วมรัฐบาล
แต่สูตรนี้ก็มีเสียงค้านว่าจะยิ่งทำให้พรรคภูมิใจไทย ที่มีอยู่ 71 เสียงภายใต้การนำของเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล มีแรงต่อรองมากยิ่งขึ้น เช่นอาจจะขอเก้าอี้เพิ่ม หรือเปลี่ยนเก้าอี้ที่ดีกว่าเดิม หรือออกฤทธิ์เดชเล่นเกมต่อรองหนักกว่าเดิมในเรื่องกัญชาเสรีและการเปิดกาสิโนคอมเพล็กซ์
ขณะเดียวกันการเข้าร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ก็แว่วมาว่าร้องขอเกินโควต้านั่นคือ 1 เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ และ 2 รัฐมนตรีช่วย ในขณะที่ 25 สส.ของประชาธิปัตย์นั้นเวลาโหวตอาจจะได้ไม่ครบเพราะอย่างน้อยมี 3 ผู้เฒ่าที่สั่งไม่ได้คือ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
สุดท้ายจากการประชุมแกนนำพรรคเพื่อไทยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้ข้อสรุปว่า 11 พรรคร่วมรัฐบาล 314 เสียงยังจับมือกันเดินหน้าต่อ โดยจะเล่นเกมเร็วเหมือนที่พรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบแล้วสามารถย้ายไปพรรคประชาชนได้ภายใน 2 วัน ฝั่งรัฐบาลก็จะนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2567 โดยข้อสรุปจากบ้านจันทร์ส่องหล้าคือจะเสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมวัย 76 ปี ต่อสภาเพื่อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าจะเป็นการฝืนสังขารหรือไม่เพราะมีข่าวว่าป่วยถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาลมาแล้ว
แต่ผ่านไปหนึ่งคืนหลังตื่นจากฝัน ชื่อชัยเกษม นิติสิริ ถูกเปลี่ยนเป็น “อุ๊งอิ๊ง” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวสุดที่รักของทักษิณ ด้วยเหตุผลว่า สส.ส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมกว่านายชัยเกษมที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ประกอบกับในพื้นที่เรียกร้องต้องการแพทองธารที่ลงพื้นที่หาเสียงเป็นส่วนใหญ่
ตกเย็นวันที่ 15 สิงหาคม 2567 แกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล แถลงข่าวที่อาคารชินวัตร 3 แจ้งมติคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยสนับสนุน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม
จากเดิมที่เชื่อกันว่านายใหญ่จะเก็บชื่อลูกสาวเอาไว้ท้ายสุดและเล่นเกมปลอดภัย แต่เมื่อเกมการเมืองบีบให้ต้องเดินต่อ โดยไม่อาจมอบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้พรรคร่วมอื่น แม้วันนี้ภาพของแพทองธารก็แค่คุณหนูไฮโซที่ยังอ่อนพรรษาและเป็นแค่เด็กฝึกงานการเมือง แต่เมื่อยอมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อถึงเวลารบก็ไม่อาจปฏิเสธที่ต้องขึ้นหลังม้าศึกเข้าโรมรันกับข้าศึก
ส่วนท้ายที่สุดผลจะเป็นอย่างไร จะต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนคุณพ่อทักษิณ เหมือนน้าปู หรือเหมือนอานิด ยังไม่ใช่เรื่องต้องคิดในยามนี้