20/04/2024

เมื่อจีนช่วยอินเดียสู้โควิด

โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

 

จีน”กับ “อินเดีย” คือสองยักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่แข่งขันในเอเชีย  หากมองเฉพาะพื้นที่นั้นแผ่นดินมังกรกว้างใหญ่กว่าแผ่นดินภารตะถึง 3 เท่า  แต่ในด้านจำนวนประชากรถือว่าใกล้เคียง  วันนี้จีนมี 1,400 ล้านคน  อินเดียมี 1,376 ล้านคน  สองประเทศรวมกันมีจำนวนประชากรถึง 37% ของประชากรโลก

มีการศึกษาแนวโน้มด้านประชากรโลกว่า  ภายในปี 2570 จำนวนประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีน  และเมื่อถึงปี 2593 อินเดียจะมีประชากรเพิ่มถึง 1,500 ล้านคน  ขณะที่ประชากรจีนจะลดลงเหลือ 1,100 ล้านคน  ด้วยเหตุว่าคนจนในอินเดียมีการศึกษาน้อยไม่ค่อยคุมกำเนิด  ส่วนคนจีนมีการศึกษามากขึ้น ผู้สูงอายุมากขึ้น เด็กเกิดใหม่น้อยลง

แม้สองประเทศนี้จะมีเขตแดนติดกันยาวกว่า 3,000 กิโลเมตรแถบเทือกเขาหิมาลัย  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดียในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยราบรื่นนัก ดูเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาตลอด

นับจากปี 1962 ที่ทำสงครามแย่งชิงดินแดนที่เป็นรอยต่อของสองประเทศ  แม้กระทั่งกลางปี 2563 ก็ยังมีเหตุทะเลาะกันระหว่างทหารจีนกับทหารอินเดียบริเวณชายแดน  จนเป็นผลให้ทหารอินเดียเสียชีวิตถึง 20 นาย แต่ฝ่ายจีนไม่ปรากฎจำนวนแน่ชัด

ลึกๆของความบาดหมางคือการที่อินเดียให้ที่ลี้ภัยแก่องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของจีน  จึงสร้างความไม่พอใจแก่จีนจนถึงทุกวันนี้  ส่วนหนึ่งที่จีนแสดงออกคือการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ “ปากีสถาน”ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอินเดีย

มาระยะหลังเมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายออกสู่ภายนอก  ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ริเริ่มโครงการเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative) เชื่อมจีนกับทั่วโลก  อินเดียมองว่าเป็นการแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ที่อินเดียเคยครอบครองโดยเฉพาะเอเชียใต้  โดยจีนอ้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าจึงร่วมมือสร้างทางรถไฟ ท่าเรือ สนามบิน กับนานาประเทศในเอเชียใต้ทั้งปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เมียนมา

อินเดียปฏิเสธคำชวนเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมของจีน  เช่นเดียวกับที่ปฏิเสธเข้าร่วมกลุ่มการค้าเสรี  Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP ที่จีนเป็นแกนนำ

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในด้านเศรษฐกิจต้องถือว่าสองประเทศมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด  ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอินเดีย  สินค้าของอินเดียส่งออกไปขายในตลาดจีนมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นทุกปี  ขณะที่การลงทุนของจีนในอินเดียก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

แต่การค้าต้องหยุดชะงักนับแต่เกิดการระบาดโควิด-19 ในจีน  จนถึงวันนี้จีนควบคุมได้แต่สถานการณ์ในอินเดียกลับเลวร้ายจนโลกตะลึง

ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 คนอินเดียติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว 21 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 2.3 แสนคน มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มวันละ 4 แสนคน ตายวันละ 4,000 คน  ต้องเผาศพกันบนถนนเป็นที่อเนจอนาถใจ  และหากแนวโน้ยังเป็นเช่นนี้ภายในต้นเดือนมิถุนายน “อินเดีย”อาจจะขึ้นอันดับ 1 ของโลกที่ติดเชื้อมากสุด

เห็นชัดว่าระบบสาธารณสุขล่มจากปรากฏการณ์คนป่วยล้นโรงพยาบาล  เตียงไม่พอรองรับต้องนอนเตียงละ 2 คน แพทย์ พยาบาลไม่พอ  ชุดอุปกรณ์ป้องกันไม่เพียงพอ แม้กระทั่งถังออกซิเจนที่จะช่วยการหายใจก็กลายเป็นของขาดตลาดที่มีราคาแพง  ถึงขนาดต้องแย่งชิงและปล้นกัน

เศรษฐีที่มีเงินหนีออกนอกประเทศนานแล้ว  ถึงขนาดมีข่าวเหมาเครื่องบินไปหลายประเทศรวมถึงไทย  จนนานาชาติประกาศบล็อกผู้เดินทางจากอินเดียเพราะกลัวไวรัสกลายพันธุ์

ที่พอมีสตางค์บ้างต้องวิ่งหาซื้อยาและวัคซีนในตลาดมืด   ส่วนคนยากจนหันพึ่งหมอผีชีพราหมณ์ นักบวช หรือปล่อยตายตามยถากรรม

แม้กระทั่งวัคซีนที่จะฉีดให้ประชากรก็ไม่พอ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อินเดียได้ชื่อว่าเป็น “โรงงานวัคซีนของโลก” เพราะวัคซีนที่ใช้กันทั่วโลกประมาณ 60% ถูกผลิตที่อินเดีย  เนื่องจากบริษัทยานานาชาติใช้อินเดียเป็นฐานการผลิตด้วยเหตุผลว่ามีเทคโนโลยีและต้นทุนต่ำ

เมื่อเกิดโควิด-19 อินเดียน่าจะมีโอกาสดีที่สุดที่จะฉีดวัคซีนป้องกันให้แก่ประชาชน  แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของสหรัฐอเมริกาที่กักสารตั้งต้นและวัตถุดิบในการผลิตวัคซีนเอาไว้ใช้เอง  ทำให้สายพานการผลิตวัคซีนของอินเดียหยุดชะงัก  แล้วสิ่งที่ตามมาคือการล้มตายของคนอินเดีย

สหรัฐอเมริกาถูกด่าเละในเรื่องนี้ที่เพิกเฉยต่อวิกฤติในอินเดีย  ทั้งๆที่ผ่านมาได้ใช้อินเดียเป็นตัวถ่วงดุลอำนาจจีน  หรือช่วงที่อเมริกาวิกฤติโควิดช่วงปีที่แล้วทางอินเดียก็ออกหน้าช่วยเหลือ  ส่งผลให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องกลับลำอนุมัติให้ส่งออกวัตถุดิบและสารตั้งต้นได้พร้อมความช่วยเหลืออีกระดับ

จีนแสดงสปิริตประกาศสนับสนุนและช่วยเหลืออินเดียอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับโควิด-19 ทั้งในนามรัฐบาลและบริษัทเอกชนจีนที่ทำมาค้าขายหรือลงทุนในอินเดีย

ซุนเว่ยตง เอกอัครราชทูตจีนประจำอินเดีย โพสต์ทวิตเตอร์ว่าจีนได้จัดหาเครื่องผลิตออกซิเจนแก่อินเดียในปริมาณสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังคงเดินหน้าผลิตเครื่องผลิตออกซิเจนและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆเพื่อส่งมอบแก่อินเดีย

“บรรดาบริษัทจีนต่างสืบสานจิตวิญญาณแห่งมนุษยธรรม มุ่งเน้นการช่วยชีวิต ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของชาวอินเดีย” ซุนระบุในอีกทวีตหนึ่ง “สิ่งเหล่านี้สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนความปรารถนาดีที่จะช่วยเหลืออินเดียต่อสู้กับโควิด-19

ตั้งแต่เดือนเมษายนจีนได้จัดหาเครื่องช่วยหายใจมากกว่า 5,000 เครื่อง เครื่องผลิตออกซิเจน 21,569 เครื่อง หน้ากากอนามัยกว่า 21.48 ล้านชิ้น และยาอีกประมาณ 3,800 ตันให้แก่อินเดีย  นอกจากนี้กลุ่มบริษัทจีนยังมีเป้าหมายผลิตเครื่องผลิตออกซิเจนให้อินเดียอย่างน้อย 40,000 เครื่อง

โควิด-19 สร้างหายนะแก่โลกและอินเดีย  แต่อีกด้านอาจช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้สองมหาอำนาจแห่งเอเชียกลับมาเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *