จีนรับความเสี่ยง ปรับนโยบายโควิด
โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
การที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยอมถูกนินทาและถูกด่าในการเลือกใช้ยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น Dynamic zero COVID ) ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพราะไม่อาจยอมรับทฤษฎีของฝั่งตะวันตกที่ว่า ถ้าติดเชื้อกันมากๆแล้วจะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” กลายเป็น “โรคประจำถิ่น” อย่างที่รัฐบาลไทยรีบเชื่อและเร่งเปิดประเทศ
เพราะจีนไม่สามารถเสี่ยงกับประชากรที่มีอยู่ 1,400 ล้านคน จึงสู้ยอมปิดเมือง เร่งระดมฉีดวัคซีนที่สามารถผลิตได้เอง หาทางควบคุมและกำจัดเชื้อไวรัสให้สิ้น โดยเชื่อมั่นว่าวินัยของคนจีน ผสมมาตรการที่เด็ดขาดและวัคซีนจีนจะเอาชนะไวรัสได้
นักวิชาการด้านการแพทย์ทั้งของจีนและฝั่งตะวันตกเคยฉายภาพที่น่าหวาดกลัว คนจีนบนแผ่นดินใหญ่อาจต้องเสียชีวิตจากเชื้อโควิดมากกว่า 2 ล้านคนถ้าผ่อนคลายมาตรการอย่างที่ฮ่องกงเคยทำ เพราะทันทีที่ฮ่องกงผ่อนคลายความเข้มงวด ตัวเลขการติดเชื้อและเสียชีวิตได้พุ่งสูงในระดับโลก
นักวิทยาศาสตร์ในจีนและสหรัฐ ประเมินว่าแม้ความรุนแรงจะน้อยลงแต่การติดเชื้ออาจแพร่กระจายมากกว่า 200 ล้านคน สร้างความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่า 1.5 -2 ล้านคน ถ้ายกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์โดยไม่เพิ่มการฉีดวัคซีนและเข้าถึงการรักษา เพราะความต้องการห้องไอซียูจะพุ่งเกินขีดความสามารถถึง 15 เท่า ดังภาพที่เคยปรากฏในประเทศไทยที่ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล
นักวิจัยทั้งชาวจีนและต่างประเทศเห็นตรงกันว่า อัตราการฉีดวัคซีนและเข็มกระตุ้นในจีนยังต่ำ จึงยังขาดภูมิคุ้มกันหมู่ หากยกเลิกมาตรการควบคุมที่เข้มข้นก็จะเกิดความเสี่ยงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามหลังการประท้วงใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้จะเป็นการท้าทายอำนาจประธานาธิบดีสี ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติต่ออายุการเป็นผู้นำสูงสุดของจีนจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิส์จีน แม้จะตำหนิเหล่านักศึกษาที่ลุกขึ้นมาจุดชนวนการประท้วง แต่ผู้นำจีนได้แสดงท่าทีผ่อนคลายความเข้มงวด ด้วยคำกล่าวที่ว่าโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดในขณะนี้มีความอันตรายน้อย และปูทางให้จีนผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ลง
3 ปีที่ผ่านมาจีนทุ่มเทเวลาและงบประมาณมหาศาลในการควบคุมการแพร่ระบาด ยอมสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ หรืออีกทางคือความถดถอยทางเศรษฐกิจด้วยเหตุว่า “เพื่อรักษาชีวิตคนจีน” ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลหรือความชอบธรรมหากจะใช้วิธีการรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสมัย “เทียนอันเหมิน” เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1989 ซึ่งสื่อตะวันตกเคยรายงานว่าเป็นเหตุการณ์การ “สังหารหมู่” ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 10,000 คน
ความเด็ดขาดของการบังคับใช้กฎหมายในจีนนั้นเป็นที่เลื่องลือว่าหากศาลตัดสินประหารชีวิตก็คือประหาร ไม่มีการลดหย่อยผ่อนโทษ สารภาพเหลือครึ่งราคา ติดคุกไม่กี่ปีก็ออกมาชูคอในสังคมได้อีกครั้ง เพราะมีกระบวนการช่วยลดหย่อยผ่อนโทษกันได้หากบารมีถึง เงินถึงเหมือนในประเทศสารขัณฑ์
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะขึ้นชื่อว่าคน อาจจะขังกายได้แค่ขังจิตใจไม่ได้ มาตรการล็อคดาวน์ที่ล็อคแล้วล็อคอีก โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดกันเมื่อไร เมื่อมาเห็นภาพนานาประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายการควบคุม เห็นการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ได้ออกกินข้าวนอกบ้าน ได้ออกท่องเที่ยวสนุกสนานเบิกบานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นจุดหมายหลักของคนจีน เห็นภาพนักท่องเที่ยวทั่วโลกออกันแน่นที่ด่านตรวจขาเข้า แต่ไร้นักท่องเที่ยวจีนที่เคยครองอันดับ 1 เคยเยือนไทยปีละ 11 ล้านคน
ความอึดอัดในการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านซึ่งไม่ต่างกับการถูกลงโทษกักบริเวณ ความยากลำบากจากการขาดแคลนรายได้ บางชุมชน บางพื้นที่ประสบปัญหาด้านอาหารการกินเนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลแบบไม่ถั่วถึงหรือไม่ใส่ใจ ฯลฯ ความเหลืออดมาถึงจึงต้องลุกขึ้นมาร้องตะโกนดังๆกันบ้างแม้จะท้าทายอำนาจรัฐ แม้จะมีโอกาสถูกจับกุมเข้าคุก เพราะมันก็แค่เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องสี่เหลี่ยมในบ้านไปนอนคุกที่มีลูกกรง มียามดูแล 24 ชั่วโมง มีอาหาร 3 มื้อ แถมยังได้เพื่อนคุยมากขึ้น
การลุกขึ้นมาอีกครั้งของนักศึกษาและประชาชนในรอบ 3 ทศวรรษ ที่แม้จะมีเสียงแทรกโจมตีตัวผู้นำหรือพรรคการเมืองบ้าง แต่จุดมุ่งหมายหลักคือปฏิเสธการล็อคดาวน์และขอคืนการใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งน่ายินดีที่รัฐบาลปักกิ่งยอมฟังและมีการตอบสนองค่อนข้างจะรวดเร็วในการปรับปรุงมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่เคยใช้มา รวมทั้งการตรวจหาเชื้อ การรักษา และการกักตัว
ถึงขณะนี้หลายเมืองได้ยกเลิกข้อกำหนดให้แสดงผลการตรวจโควิดเพื่อใช้ระบบขนส่งสาธารณะ อย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าความเร็วสูงระหว่างเมือง หรือสถานที่ที่มีผู้เข้าใช้บริการจำนวนมาก อย่างซูเปอร์มาเก็ต สวนสาธารณะ
อย่างไรก็ตามการที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์การอนามัยโลก(WHO) ออกมาให้ความเห็นว่า รัฐบาลจีนควรจะพิจารณาใช้วัคซีนนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ในการเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ชาวจีนในประเทศ เนื่องจากที่วัคซีนที่ผลิตในจีนมีประสิทธิผลน้อยกว่า และอาจจะควบคุมสายพันธุ์โอมิครอนไม่อยู่แม้จะมีความรุนแรงน้อยกว่า
ข้อเสนอดังกล่าวตอบได้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเท่ากับเป็นการตบหน้ารัฐบาลจีนและเป็นการยอมรับว่า วัคซีนจีนอย่าง ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ที่ระดมฉีดไปทั้งประเทศแถมยังบริจาคให้นานาชาติรวมทั้งไทยจำนวนนับพันล้านโดสนั้นด้อยประสิทธิภาพจริงอย่างที่ฝรั่งชาติตะวันตกวิจารณ์
หรือจะเป็นคำตอบว่าทำไมรัฐบาลจีนจึงยังต้องใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ทั้งๆที่ 90.4 % ของประชากรจีนได้รับวัคซีน 1 เข็มขึ้นไปแล้ว และ 89.7 % ของประชากรได้รับครบโดส 2 เข็ม ซึ่งน่าจะมากเพียงพอในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
อย่าลืมว่าในช่วงวิกฤติที่โควิด-19 ระบาดหนักและผู้คนตายเป็นใบไม้ร่วง WHO นั่นแหละที่อนุมัติรับรองวัคซีนซิโนแวค และซิโนฟาร์มของจีน ว่ามีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ให้ใช้ได้กรณีฉุกเฉิน
……………………………………………………………………..
หมายเหตุ : ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ ปีที่ 16 ฉบับที่ 394 วันที่ 16-31 ธันวาคม พ.ศ.2565