บทความพิเศษ ประชาธิปไตยไทย กับมาตรฐานไบเดน
โดย นามบูรพา
คำว่า “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอามาใช้กับต่างประเทศนั้นวันนี้คนทั้งโลกได้เห็นว่ามี 2 มาตรฐานและแท้ที่จริงเป็นคำอ้างเพื่อแสดงบทบาทความเป็นผู้นำโลก
เห็นได้จากเมื่อครั้งเกิดการประท้วงในฮ่องกงปีที่แล้วผู้ประท้วงบุกสนามบิน บุกสถานีรถไฟ ทุบทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ทางการต้องสลายม็อบและจับกุมผู้ก่อเหตุ รัฐบาลจีนต้องออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ทางอเมริกาได้โจมตีว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและใช้ความรุนแรง
แต่เมื่อเกิดการประท้วงการเหยียดผิวและความอยุติธรรม(Black Lives Matter) ขึ้นในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา มีการเผาทำลายร้านค้า ขโมยสินค้า ก่อจลาจลกลางเมือง ทางการต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังทหารเข้ากวาดล้างจับกุมผู้ประท้วงโดยปรากฏภาพการใช้กำลังที่รุนแรง แต่รัฐบาลก็บอกว่าทำตามกฎหมายเพื่อความสงบในบ้านเมือง
หรือกรณีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ผู้สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภาเพื่อขัดขวางการรับรองนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่แล้วถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต 5 ราย ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นผู้หญิงมือเปล่าไร้อาวุธ ภาพความรุนแรงดังกล่าวกลับถูกมองข้ามแถมยังเบี้ยงประเด็นไปมุ่งถอดถอนอดีตผู้นำในฐานะผู้ยุยงปลุกปั่น
ทั้งสองกรณีที่อเมริกาหากเทียบกับการสลายม็อบนักศึกษาในไทยด้วยรถปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ซึ่งถูกสื่ออเมริกันโจมตีมากว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ใช้ความรุนแรง ก็ยังเป็นที่สงสัยว่าใครป่าเถื่อนกว่ากันแน่
ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) องค์กรสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์รายงานเหตุการณ์ตำรวจไทยสลายการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาบริเวณราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2020 ว่า เป็นการชุมนุมโดยสันติ การที่ตำรวจใช้รถปืนฉีดน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล และการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลเป็นการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการละเมิดสิทธิของประชาชนโดยไม่มีความผิด
ก่อนหน้านั้นสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยถูกโจมตีว่าให้การสนับสนุนม็อบและแทรกแซงการเมืองไทย แต่ทางสถานทูตได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
“รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ให้เงินทุนหรือให้การสนับสนุนการประท้วงในประเทศไทย สหรัฐฯไม่ได้สนับสนุนบุคคลหรือพรรคการเมืองใด แต่เราสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ในฐานะมิตรประเทศของไทย เราสนับสนุนให้ทุกฝ่ายดำเนินการด้วยความเคารพและระมัดระวังต่อไป ตลอดจนมีส่วนร่วมในการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ถึงแนวทางในการที่ประเทศจะก้าวต่อไปข้างหน้า” แถลงการณ์ ระบุ
อย่างไรก็ตามเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2020 สมาชิกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย ส.ว.กลุ่มหนึ่งซึ่งมีนางแทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ว. อเมริกันเชื้อสายไทยร่วมอยู่ด้วย ได้ออกมาสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยของไทยพร้อมเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัว หยุดดำเนินคดี และหยุดคุกคามผู้เคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมืองอย่างสันติ
“ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้นำไทยรับฟังเสียงประชาชนและยึดหลักการประชาธิปไตยไว้เป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาล” แทมมี ดักเวิร์ธ กล่าวในแถลงการณ์
นอกจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ว.อเมริกันแล้วก่อนสิ้นปี 2020 “องค์การนิรโทษกรรมสากล”(Amnesty International) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาลไทยร่วมเรียกร้องให้ยกเลิกการการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมโดยสงบจำนวน 220 คน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย
ในแถลงการณ์ระบุว่า อย่างน้อย 149 คนในจำนวนบุคคลถูกดำเนินคดีข้อหาละเมิดข้อจำกัดในการชุมนุมสาธารณะภายใต้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และอย่างน้อย 53 คนถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น จำนวน 37 คนถูกดำเนินคดีความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย (มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา) ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี
ถึงวันนี้มีการตั้งคำถามว่าเมื่อสหรัฐอเมริกามีผู้นำคนใหม่ชื่อ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตซึ่งเน้นเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จะมีผลต่อบรรยากาศทางการเมืองไทยอย่างไร การชุมนุมจะกลับมาคึกคักไหม
ถ้าย้อนดูความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกาช่วงโจ ไบเดน เป็นรองประธานาธิบดีคู่กับประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ตรงกับช่วงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำการรัฐประหารก่อตั้งรัฐบาลคสช. ปฏิกริยาตอบโต้จากอเมริกาคือลดระดับความร่วมมือทางการทหารลง ระงับการให้เงินช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 3.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐจากเงินช่วยเหลือรวม 10.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงระงับการซื้อขายอาวุธให้กับไทย จนกว่าประเทศไทยจะฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย
“อเมริกากลับมาแล้ว และพร้อมจะนำพาไม่ใช่ถอยออกจากประชาคมโลก ” คือ คำมั่นสัญญาที่ไบเดนกล่าวหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
จากคำประกาศดังกล่าวประกอบกับนโยบายที่ไบเดนหาเสียงไว้ในเวทีต่างๆพอจะประมวลเรื่องสำคัญๆที่เขาจะเร่งดำเนินการคือ
1.นำสหรัฐอเมริกากลับเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก แล้วทุ่มเทสรรพกำลังในการสกัดยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 และเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ชาวอเมริกันทั่วทั้งประเทศเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
- สหรัฐอเมริกากลับเข้าสู่ข้อตกลงว่าด้วยโลกร้อน(Paris Agreement)
- นำสหรัฐอเมริกากลับสู่ข้อตกลงเขตการค้าเสรี CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership)
- นำสหรัฐอเมริกากลับสู่ความเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตย เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนของทั่วโลก
แต่เรื่องที่น่าส่งผลต่อไทยมากที่สุดคือนโยบายส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด
นักการเมืองไทยคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่ารัฐบาลไทยชุดปัจจุบันน่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน ที่มาของนายกรัฐมนตรี หรือวิธีการจัดการกับผู้ชุมนุมทางการเมือง
ในสมัยรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่นำโดยพรรครีพับลิกัน ให้ความสำคัญกับการค้าขายมากกว่าเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ในสมัยโจ ไบเดน เป็นที่แน่ชัดว่าพรรคเดโมแครตกลับมาจับตาประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวซึ่งจะถูกยกเป็นประเด็นต้นๆในการพูดคุย หรืออาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองและกดดันดังเช่นในอดีต