26/04/2024

โลกเฝ้ารอ “สี จิ้นผิง”

 

 

ปลายซอย 17 / ขุนพล กอเตย

 

นึกว่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน  จะมีการประกาศให้ “สี จิ้นผิง” ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคฯและประธานาธิบดีต่อเป็นวาระที่ 3

แต่วันนั้นหลังจากกล่าวเพียง 2 ชั่วโมงเศษ รายงานผลงานในรอบ 5 ปีและเป้าหมายพรรคฯในศตวรรษที่ 2 เป็นอันจนพิธีเปิดประชุมใหญ่แบบกระชับ  คงต้องรอการประชุมต่อเนื่อง  ผ่านกระบวนการต่างๆของพรรคจากระดับสภา  คณะกรรมการกลาง  คณะกรรมการกรมการเมือง  คณะกรรมการถาวรกรมการเมือง ( ฉายา 7 อรหันต์ทองคำ) แล้วคงจะประกาศตัวผู้นำอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้าย

 

สี   จิ้นผิง

 

อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรพลิกล็อคแน่  เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ปรากฏตัวผู้จะก้าวขึ้นมาสืบทอดอำนาจเป็นผู้นำรุ่นที่ 6  ซึ่งตามปกติพรรคฯจะต้องทำการคัดกรองตัวบุคคลและเตรียมเส้นทางไว้ล่วงหน้ายาวนาน  หรือเพราะสี จิ้นผิง ยังไม่คิดจะส่งไม้ต่อให้ใครในระยะเวลาอันใกล้นี้

ไม้ต่อ” ที่ว่าคือการทำงานให้สำเร็จตามความฝันของจีน

ภาพฝันของประเทศนั่นคือเมื่อครบ 100 ปีของการสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน”ในปี 2049 ที่จีนจะเป็นสังคมนิยมทันสมัยโดยสมบูรณ์ที่มีอัตตลักษณ์ของจีน

ภาพฝันของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ  การเดินทางไกลเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 หลังจากครบศตวรรษแรกในปี 2021 ภายใต้การกำกับของสี ในช่วง 10 ปี

ดังนั้นสี จึงเป็นทั้งแรงส่งและแรงดันของพรรคในช่วงรอยต่อที่สำคัญ

การดำรงอำนาจและนั่งตำแหน่งผู้นำรุ่นที่ 5 สมัยที่ 3 จึงไม่ใช่การอยู่ต่อเพราะลงจากหลังมังกรไม่ได้

ไม่ใช่อยู่ต่อเพราะเสพติดอำนาจ

และไม่ใช่อยู่ต่อเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง

แต่เป็นการอยู่ต่อเพื่อไปมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “รับใช้ประชาชน”  เพื่อประโยชน์สุขของมหาประชาชนจีนจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน

เหนืออื่นใดคือการทวงคืนเกียรติและศักดิ์ศรีของจีนว่าคือชาติที่ยิ่งใหญ่  ไม่อยู่ใต้อาณัติและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและชาติอื่นใด

 

 

วันนี้ไม่น่าจะแค่ประชาชนจีนที่รอฟังประกาศอย่างเป็นทางการ  แต่เชื่อว่านานาประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็หวังให้สี จิ้นผิงเป็นผู้นำต่อไปเพื่อช่วยโลกถ่วงดุลอำนาจ “สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร” ที่นับวันจะทำตัวกร่างยิ่งขึ้นและสร้างความถดถอยแก่โลกใบนี้   เพราะการที่สหรัฐฯยังคงพยายามแผ่อิทธิพล  การชอบเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน  ส่งออกประชาธิปไตยแบบยัดเยียดด้วยความมุ่งหมายแฝงในการขายอาวุธ  คือสิ่งที่โลกมองเห็นและเข้าใจ

เชื่อว่าวันนี้โลกอยากฟังจากปากสีให้ชัดๆว่า  นอกจากภาพนามธรรมที่จีนว่าจะร่วมสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ”แล้ว  จีนจะมีมาตรการในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก  และปากท้องของมวลมนุษยชาติหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19

จีนจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ  และให้คนจีนออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อไร  วัคซีนพันธุ์จีนที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์  จะเริ่มบริจาคหรือจะจำหน่ายให้นานาประเทศได้เมื่อไร  และจะเดินหน้าขยับขยายโครงการ “เส้นทางสายไหมยุคใหม่”ต่อไปยังไง ฯลฯ

ประเด็นเหล่านี้น่าฟังน่าเชื่อถือมากกว่านโยบายและสัญญาของรัฐบาลในประเทศต่างๆที่ส่วนใหญ่เป็นแค่ “ลมปาก”และ “ลมดาก” เหมือนฝันลมๆแล้งๆ  ต่างกับจีนที่พูดแบบมีกำหนดเวลาเป้าหมายแล้วต้องทำให้สำเร็จ

บทพิสูจน์ของการพูดแล้วทำคือ  การแก้ปัญหาความยากจนของคนในประเทศที่โลกต้องบันทึกในกินเนสต์บุ๊ค  หรือเมื่อคนจีนส่วนหนึ่งสามารถสร้างความร่ำรวยความมั่งคั่งขึ้นมาได้  รัฐบาลจีนได้พยายามหาทางลดความเหลื่อมล้ำ  กระจายรายได้

รถไฟความเร็วสูงที่ชาติอุตสาหกรรม  ชาติที่พัฒนาแล้วเคยคุยโม้โอ้อวดความทันสมัย  วันนี้จีนคือ “มหาอำนาจรถไฟความเร็วสูง” ที่ทั่วโลกต้องไปดูงาน  ที่แม้แต่สหรัฐฯยังต้องสั่งซื้อตู้รถไฟจากจีน

หรือโรคโควิด-19 ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเรียกว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” และดิสเครดิตวัคซีนจีนว่าไร้ประสิทธิภาพ  จนถึงวันนี้เชื้อร้ายได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากกว่า 6.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวอเมริกันที่ตายมากที่สุดกว่า 1 ล้านคน แต่จีนซึ่งมีพลเมืองมากที่สุดในโลกเสียชีวิตเพียง 5,226 คน

ในสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง เชื่อว่าบทบาทจีนในเวทีโลกคงต้องเข้มข้นยิ่งขึ้น  เพราะสหรัฐฯไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย  ยังคงหาทางบีบจีนทุกช่องทาง  นับตั้งแต่การเปิดสงครามการค้าเพราะแข่งขันสู้ไม่ไหว  เสียเปรียบดุลการค้าสูง   การพยายามสกัดกั้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี  จนมาถึงการห้ามส่งชิปให้จีน

จีนในยุคที่ไม่ยอมก้มหัวให้ฝรั่งหัวดำหัวทองตาน้ำข้าว  ในยุคที่เงินหยวนแข็งแกร่งแต่ดอลลาร์เริ่มไร้ความต้องการ  ได้แสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในหลายหลายเวที  อาทิ องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้(SCO )   กลุ่มประเทศกําลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (BRICS)  กลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)  และที่จีนประกาศสนับสนุนคือ  กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า APEC 2022 “การประชุมสุดยอดผู้นำของ 21 เขตเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก” ในที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงเทพมหานคร  เมื่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่ให้เกียรติประเทศไทย  ไม่ให้ราคาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีที่ยังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไม่ครบ 8 ปี หรือเพราะอายในความตกต่ำทางเศรษฐกิจในบ้านตนเอง  จึงแจ้งล่วงหน้าว่าจะส่งมือรองมาแทนเพราะติดงานแต่งงานหลานสาวอันเป็นที่รัก  จึงเป็นโอกาสทองที่สี จิ้นผิง จะได้ส่งข้อความสำคัญต่อบรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจของโลก

โลกยามนี้ต้อง “สี จิ้นผิง”เท่านั้นถึงจะสมน้ำสมเนื้อในการถ่วงดุลกับมหาอำนาจเก่า

ต้องสี จิ้นผิง เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้นำในการจัดระเบียบโลกใหม่

…………………………………………………………………………………………………….

หมายเหตุ : ลงในบางกอกทูเดย์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 3314 วันที่ 21-27 ตุลาคม พ.ศ.2565

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *