โลกเฝ้ารอ “สี จิ้นผิง”
ปลายซอย 17 / ขุนพล กอเตย
นึกว่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะมีการประกาศให้ “สี จิ้นผิง” ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคฯและประธานาธิบดีต่อเป็นวาระที่ 3
แต่วันนั้นหลังจากกล่าวเพียง 2 ชั่วโมงเศษ รายงานผลงานในรอบ 5 ปีและเป้าหมายพรรคฯในศตวรรษที่ 2 เป็นอันจนพิธีเปิดประชุมใหญ่แบบกระชับ คงต้องรอการประชุมต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการต่างๆของพรรคจากระดับสภา คณะกรรมการกลาง คณะกรรมการกรมการเมือง คณะกรรมการถาวรกรมการเมือง ( ฉายา 7 อรหันต์ทองคำ) แล้วคงจะประกาศตัวผู้นำอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้าย
สี จิ้นผิง
อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรพลิกล็อคแน่ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ปรากฏตัวผู้จะก้าวขึ้นมาสืบทอดอำนาจเป็นผู้นำรุ่นที่ 6 ซึ่งตามปกติพรรคฯจะต้องทำการคัดกรองตัวบุคคลและเตรียมเส้นทางไว้ล่วงหน้ายาวนาน หรือเพราะสี จิ้นผิง ยังไม่คิดจะส่งไม้ต่อให้ใครในระยะเวลาอันใกล้นี้
“ไม้ต่อ” ที่ว่าคือการทำงานให้สำเร็จตามความฝันของจีน
ภาพฝันของประเทศนั่นคือเมื่อครบ 100 ปีของการสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน”ในปี 2049 ที่จีนจะเป็นสังคมนิยมทันสมัยโดยสมบูรณ์ที่มีอัตตลักษณ์ของจีน
ภาพฝันของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ การเดินทางไกลเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 หลังจากครบศตวรรษแรกในปี 2021 ภายใต้การกำกับของสี ในช่วง 10 ปี
ดังนั้นสี จึงเป็นทั้งแรงส่งและแรงดันของพรรคในช่วงรอยต่อที่สำคัญ
การดำรงอำนาจและนั่งตำแหน่งผู้นำรุ่นที่ 5 สมัยที่ 3 จึงไม่ใช่การอยู่ต่อเพราะลงจากหลังมังกรไม่ได้
ไม่ใช่อยู่ต่อเพราะเสพติดอำนาจ
และไม่ใช่อยู่ต่อเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง
แต่เป็นการอยู่ต่อเพื่อไปมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “รับใช้ประชาชน” เพื่อประโยชน์สุขของมหาประชาชนจีนจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน
เหนืออื่นใดคือการทวงคืนเกียรติและศักดิ์ศรีของจีนว่าคือชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่อยู่ใต้อาณัติและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและชาติอื่นใด
วันนี้ไม่น่าจะแค่ประชาชนจีนที่รอฟังประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่านานาประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็หวังให้สี จิ้นผิงเป็นผู้นำต่อไปเพื่อช่วยโลกถ่วงดุลอำนาจ “สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร” ที่นับวันจะทำตัวกร่างยิ่งขึ้นและสร้างความถดถอยแก่โลกใบนี้ เพราะการที่สหรัฐฯยังคงพยายามแผ่อิทธิพล การชอบเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ส่งออกประชาธิปไตยแบบยัดเยียดด้วยความมุ่งหมายแฝงในการขายอาวุธ คือสิ่งที่โลกมองเห็นและเข้าใจ
เชื่อว่าวันนี้โลกอยากฟังจากปากสีให้ชัดๆว่า นอกจากภาพนามธรรมที่จีนว่าจะร่วมสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ”แล้ว จีนจะมีมาตรการในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก และปากท้องของมวลมนุษยชาติหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
จีนจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และให้คนจีนออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อไร วัคซีนพันธุ์จีนที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์ จะเริ่มบริจาคหรือจะจำหน่ายให้นานาประเทศได้เมื่อไร และจะเดินหน้าขยับขยายโครงการ “เส้นทางสายไหมยุคใหม่”ต่อไปยังไง ฯลฯ
ประเด็นเหล่านี้น่าฟังน่าเชื่อถือมากกว่านโยบายและสัญญาของรัฐบาลในประเทศต่างๆที่ส่วนใหญ่เป็นแค่ “ลมปาก”และ “ลมดาก” เหมือนฝันลมๆแล้งๆ ต่างกับจีนที่พูดแบบมีกำหนดเวลาเป้าหมายแล้วต้องทำให้สำเร็จ
บทพิสูจน์ของการพูดแล้วทำคือ การแก้ปัญหาความยากจนของคนในประเทศที่โลกต้องบันทึกในกินเนสต์บุ๊ค หรือเมื่อคนจีนส่วนหนึ่งสามารถสร้างความร่ำรวยความมั่งคั่งขึ้นมาได้ รัฐบาลจีนได้พยายามหาทางลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้
รถไฟความเร็วสูงที่ชาติอุตสาหกรรม ชาติที่พัฒนาแล้วเคยคุยโม้โอ้อวดความทันสมัย วันนี้จีนคือ “มหาอำนาจรถไฟความเร็วสูง” ที่ทั่วโลกต้องไปดูงาน ที่แม้แต่สหรัฐฯยังต้องสั่งซื้อตู้รถไฟจากจีน
หรือโรคโควิด-19 ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเรียกว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” และดิสเครดิตวัคซีนจีนว่าไร้ประสิทธิภาพ จนถึงวันนี้เชื้อร้ายได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากกว่า 6.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวอเมริกันที่ตายมากที่สุดกว่า 1 ล้านคน แต่จีนซึ่งมีพลเมืองมากที่สุดในโลกเสียชีวิตเพียง 5,226 คน
ในสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง เชื่อว่าบทบาทจีนในเวทีโลกคงต้องเข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะสหรัฐฯไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย ยังคงหาทางบีบจีนทุกช่องทาง นับตั้งแต่การเปิดสงครามการค้าเพราะแข่งขันสู้ไม่ไหว เสียเปรียบดุลการค้าสูง การพยายามสกัดกั้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี จนมาถึงการห้ามส่งชิปให้จีน
จีนในยุคที่ไม่ยอมก้มหัวให้ฝรั่งหัวดำหัวทองตาน้ำข้าว ในยุคที่เงินหยวนแข็งแกร่งแต่ดอลลาร์เริ่มไร้ความต้องการ ได้แสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในหลายหลายเวที อาทิ องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้(SCO ) กลุ่มประเทศกําลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (BRICS) กลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และที่จีนประกาศสนับสนุนคือ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า APEC 2022 “การประชุมสุดยอดผู้นำของ 21 เขตเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก” ในที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่ให้เกียรติประเทศไทย ไม่ให้ราคาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ยังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไม่ครบ 8 ปี หรือเพราะอายในความตกต่ำทางเศรษฐกิจในบ้านตนเอง จึงแจ้งล่วงหน้าว่าจะส่งมือรองมาแทนเพราะติดงานแต่งงานหลานสาวอันเป็นที่รัก จึงเป็นโอกาสทองที่สี จิ้นผิง จะได้ส่งข้อความสำคัญต่อบรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจของโลก
โลกยามนี้ต้อง “สี จิ้นผิง”เท่านั้นถึงจะสมน้ำสมเนื้อในการถ่วงดุลกับมหาอำนาจเก่า
ต้องสี จิ้นผิง เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้นำในการจัดระเบียบโลกใหม่
…………………………………………………………………………………………………….
หมายเหตุ : ลงในบางกอกทูเดย์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 3314 วันที่ 21-27 ตุลาคม พ.ศ.2565