เปิดศักราชปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่ กดปุ่มหน่วยราชการตื่นทำงาน
นับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปที่ดินตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คร้ังใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อหน่วยงานรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวกับที่ดิน 22 หน่วยจาก 11 กระทรวงมาทำข้อตกลงความร่วมมือกัน หรือที่เรียกว่า MOU เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 ณ โรงแรมรามาการ์เดนท์ ถนนวิภาวดีรังสิต
โดยมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สทคช.) เป็นหน่วยงานกลางที่เชื่อมประสานอยู่ภายใต้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)
สคทช.มี ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เป็นผู้อำนวยการ สุริยน พัชรครุกานนท์ และ ประเสริฐ ศิรินภาพร เป็นรองผู้อำนวยการ
งานที่ MOU ดูใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งกระหึ่มขึ้นไปอีกเมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีไปเป็นประธานในพิธีลงนาม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ทำให้ข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่ คทช. เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มิใช่งานธรรมดา มิใช่แค่งานสร้างภาพแล้วเลิกลากันไป
22 หน่วยงานรัฐที่ร่วมทำ MOU เท่ากับได้รับปากว่า จะนำนโยบายจากรัฐบาลไปเร่งสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนแบบแปลงรวม โดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เป็นกลุ่มหรือชุมชน เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการขาดที่ดินทำกินจะค่อยๆปรากฎให้เห็นตามลำดับ
ประชาชนผู้ยากไร้มีสิทธิทำกินและอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการเปลี่ยนมือ และการเข้าครอบครองของนายทุน
เกษตรกรมีที่ดินทำกินอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังตกทอดไปถึงลูกหลานได้
สิ่งเหล่านี้จะมิใช่เพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆอีกต่อไป
ตลอดระยะหลายสิบปีที่ผ่านมา ปัญหาที่ดินเพิ่มทวีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากขึ้น ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ประชาชนได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน สาเหตุสำคัญประการหนึ่ง เกิดจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับที่ดินซึ่งผูกโยงไปถึงประชาชนที่อยู่อาศัยในที่ดินนั้นมีจำนวนมาก กระจายกันอยู่ถึง 11 กระทรวง
แต่ละหน่วยงานก่อเกิดด้วยกฎหมายเฉพาะของตัวเอง การบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมถึงวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั้นๆ ขาดการทำงานร่วมกัน ทำให้การควบคุมดูแลและการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
แนวเขตที่ดินในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่ทับซ้อนกัน นำไปสู่การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตรา 1 : 4000 แบบดิจิตอล หรือที่เรียกว่า วันแม็ป ( One Map)โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย แนวเขตที่ดินไม่ให้ทับซ้อน หรือมีช่องว่างไม่ว่าจะเป็นที่ดินของรัฐ หรือที่ดินของเอกชน
สคทช. จึงประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อประชาชน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทุกส่วนราชการจะนำไปใช้และถือเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน
นี่คือ การปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่เพื่อตอบโจทย์ปัญหายืดเยื้อเรื้อรังเรื่องที่ดินทำกินของเกษตรกร ด้วยพลังความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ ไม่ทำงานแบบแยกส่วน หน่วยงานใครก็หน่วยงานนั้นเหมือนที่แล้วๆมา
คทช. คือบอร์ดใหญ่ระดับชาติที่มีกรรมการระดับรัฐมนตรีว่า การกระทรวง 8 กระทรวง ได้แก่ กลาโหม คลัง เกษตร ทรัพยากรฯ มหาดไทย พัฒนาสังคมฯ คมนาคม และดิจิทัลฯ เข้าร่วมประชุมโดยวันนี้ “บิ๊กป้อม”นั่งหัวโต๊ะ
คทช.จึงเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศในภาพรวม ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐที่ต่างสังกัด ต่างผู้บริหาร ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน
สังคมที่รับรู้ข่าวสารที่เปิดกว้างและรวดเร็วคงจะได้ติดตามกันต่อไปว่า MOU ที่ลงนามกันดังกล่าวจะเป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับระบบราชการ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเปิดศักราชใหม่ให้แก่การปฏิรูปที่ดินไทยนับตั้งแต่นี้ไป