วันที่ 9 เดือน 9 แผนสู้ศึกเลือกตั้ง พรรคก้าวไกล
สัมภาษณ์พิเศษ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล
“พรรคก้าวไกลมาไกล แต่สิ่งที่พาเรามาจากอดีตถึงปัจจุบันไม่อาจพาเราไปสู่อนาคตอันใกล้ได้ ต้องมีการปรับโฉมใหม่ของพรรคทั้งด้านนโยบาย การสื่อสาร การเข้าหาสื่อ การลงพื้นที่ การทำหน้าที่ในสภา การระดมทุน การเอาอาสาสมัครเข้ามาช่วย ”
เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 จากคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี มีผลให้แกนนำพรรคคนสำคัญ อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช ต้องยุติบทบาทในสภา ส่งผลให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เป็นดาวเด่นต้องรับไม้ต่อเป็นผู้นำทัพคนใหม่ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยได้แสดงฝีมือและฝีปากในฐานะพรรคฝ่ายค้านในสภา พร้อมเตรียมจัดทัพใหม่เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566
lประเมินผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่พรรคส่งคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ลงสมัคร ได้อันดับ 3 และได้ สมาชิกสภากทม. 14 เขต ถือว่าบรรลุเป้าหมายเพียงใด และจะทำงานการเมืองในพื้นที่กทม.ต่อไปอย่างไร
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากทม.ที่ผ่านมา เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้คนรู้สึกอย่างไร คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ได้เป็นแค่ผู้ว่าฯกทม. แต่เหมือนเป็นฉันทามติใหม่ สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คะแนนเสียงกว่า 1.38 ล้านคะแนน คือความต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว ต้องการเห็นวิธีการคิด วิธีการทำงานที่ไม่ใช่นักการเมืองแบบเก่า
ในส่วนของพรรคก้าวไกล คุณวิโรจน์มาที่ 3 แพ้ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อันดับ 2 ไปนิดเดียวอย่างน่าเสียดาย เมื่อย้อนกลับไปดูทำให้เรานึกถึงอารมณ์ของการเลือกตั้งที่ผู้คนต้องการคนที่สามารถทำงานได้กับทุกฝ่ายและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้ เมื่อเทียบกับผู้ว่าฯที่ต้องการพุ่งชน และแก้ปัญหาทางโครงสร้าง จึงเป็นเรื่องที่ต้องจัดเรียงกระบวนท่าว่าอันไหนคือเรื่องระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่พรรคก้าวไกลจะต้องเอามาปรับใช้กับการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ส่วนใหญ่เราจะเน้นเรื่องโครงสร้าง การทลายทุนผูกขาด การกระจายอำนาจ รัฐ-ราชการรวมศูนย์ต้องหยุด ล้วนเป็นเรื่องโครงสร้างในระยะยาวที่รัฐบาลสองสมัยถึงจะทำได้ แต่ตอนนี้มีเรื่องโควิด-19 เรื่องวิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ ของแพงค่าแรงถูก ผู้คนต้องการคำตอบระยะสั้น ดังนั้นบทเรียนจากสนามกทม. เรื่องนโยบายยังเน้นโครงสร้างเหมือนเดิมเพราะเป็นลายเซ็นต์ของพรรคก้าวไกล แต่ต้องมีนโยบายระยะสั้น กลาง ยาว ที่แก้ไขปัญหาได้ทันที
ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภากรุงเทพฯ หรือ ส.ก.ที่ได้มา 14 เขต เทียบแล้วยังเท่าเดิม แปลว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ เอาคุณธนาธร(จึงรุ่งเรืองกิจ) คุณปิยบุตร(แสงกนกกุล) คุณช่อ(พรรณิการ์ วานิช) ออกไป ไม่สามารถทุบทำลายแนวทางหรือวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ในการทำการเมืองอย่างพรรคก้าวไกลได้ คนกรุงเทพฯยังให้การสนับสนุน แต่ขณะเดียวกันเราอยู่มา 3 ปีกว่าได้พิสูจน์ฝีมือในสภามาพอสมควรแล้ว คะแนนก็ยังไม่เพิ่มขึ้น เราเหลือเวลาอีกประมาณ 8 เดือนก่อนจะครบวาระรัฐบาล ก่อนจะมีการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลตอนนี้ไม่ใช่พรรคใหม่จึงมีโจทย์และความท้าทายสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป
lสรุปชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าเลือกตั้ง 2566 ใช้สูตร บัตร 2 ใบ หาร 100 ตามร่าง กกต. จะมีปัญหาอะไรซ่อนไว้อีกไหม
จุดยืนของพรรคก้าวไกลคือ จะต้องเอาตัวหารที่สอดคล้องกับการแก้ปัญหา ณ ปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันคือต้องหาร 100 ตามกระบวนการที่ดำเนินการมากว่า 2 ปีในสภา แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นระบบที่สมบูรณ์ที่สุดหรือดีที่สุดสำหรับการเมืองไทยนะ
สิ่งที่น่าเศร้าใจคือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่จะเป็นระเบิดเวลาซึ่งเราเสนอให้แก้ไขทั้งฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทบ้านเมือง บริบทกฎหมาย แต่ถูกลดทอนให้แก้เฉพาะกฎ กติกาการเลือกตั้งที่เกี่ยวกับนักการเมือง และการเข้าสู่อำนาจแค่นั้น
lเรื่องวาระนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดว่าจะออกมารูปไหน
ผมก็นับเลขเป็นและไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ตั้งแต่แรก เมื่อรู้ว่าประชาชนอยู่ภายใต้การนำของผมมา 8 ปีก็ไม่จำเป็นต้องให้เรื่องไปถึงสภา ไม่ต้องไปเปลืองเวลาศาลรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยการที่ต้องการสืบทอดอำนาจ หาวิธีจะให้ตัวเองไปต่อให้ได้ เรื่องง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยาก เรื่องสามัญสำนึกจึงไม่ค่อยมี
เรื่องนี้ต้องดูที่เจตนารมณ์ตอนร่างรัฐธรรมนูญซึ่งคุณมีชัย (ฤชุพันธุ์) และคุณสุพจน์ (ไข่มุกต์) ก็พูดไว้ชัดเจนในรายงานว่าคณะรัฐมนตรีที่อยู่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้มาจนถึงตอนนี้ นั่นคือรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 จัดตั้งรัฐบาลเดือนสิงหาคม 2557 แม้จะก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ก็มีความต่อเนื่องตามภาษารัฐศาสตร์ คือ Continuation of Power และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคือต้องการที่จะจำกัดอำนาจนั้น
แม้ตอนหลังคุณสุพจน์จะออกมาแสดงความคิดเห็นที่ขัดกับรายงานการประชุมในอดีต แต่นักรัฐศาสตร์และนักนิติศาสตร์ ต้องเอาความเห็นตอนที่ยังไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่บริสุทธิ์กว่ามาพิจารณา แต่ตอนนี้เหตุกำลังจะเกิดและชัดเจนว่าผู้แสดงความคิดเห็นมาจากใครมากับใคร แม้คุณสุพจน์จะกล่าวว่าความคิดเห็นไม่ใช่มติ แต่ในทางนิติศาสตร์นั้นความคิดเห็นที่มีการบันทึกไว้ก็เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจน เป็นเบาะแสว่าตอนนั้นคิดอะไรกันก่อนที่จะคลอดมันออกมา แต่ตอนนี้พอคลอดแล้วเห็นว่าผลลัพทธ์เป็นยังไงถึงให้ความเห็นอีกทีหนี่ง
กรณีที่บิ๊กป้อม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้อีก 2 ปีนั้น เป็นเพียงการโยนหินถามทาง ซึ่งขัดหลักกฎหมายและขัดอารมณ์ของสังคม แต่กฎหมายก็เป็นอะไรที่ดิ้นได้ ตีความได้หลายรูปแบบ
เพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจนพรรคก้าวไกลร่วมกับพรรคฝ่ายค้านยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หวังให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่ให้เป็นนิติรัฐนิติธรรมของประเทศนี้ให้ประชาชนเคารพศรัทธา
มีข้อสังเกตุว่าก่อนหน้านี้อยู่ดีๆลุงตู่ขึ้นมาพูดเรื่อง “ยุทธศาสตร์ 3 แกน” จะเชื่อมโครงสร้างประเทศไทย จะให้ประเทศไทยเป็นแหล่ง EV อันดับ 1 จะให้คนยากคนจนเข้าถึงระบบธนาคารได้ ซึ่งผมเรียกว่า “สามกลวง”ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลุงตู่บอกว่ายุทธศาสตร์ 3 แกนนั้นอีก 2 ปีจะผลิดอกออกผล เป็นการส่งสัญญาณว่าจะอยู่ต่ออีก 2 ปีใช่ไหม ต้องถามประชาชนว่าสภาพชีวิต 8 ปีที่ผ่านมาดีขึ้นหรือเปล่า และถ้าต้องทนอยู่อีก 2 ปีจะทนได้หรือไม่
หากเราหมดหวังกับเรื่องเหล่านี้แล้วเขาจะอยู่ต่ออีก 2 ปี กระแสจะตีกลับ ประชาชนต้องออกมาเลือกตั้งให้มากที่สุดให้เป็นฉันทนามติ ให้เห็นชัดๆเหมือนกับการเลือกผู้ว่าฯกทม. ให้การฟอร์มรัฐบาลได้เกินกว่า 300 เสียง เพื่อจะดูว่า ส.ว.250 เสียงที่จะร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี จะกล้าขัดใจเสียงประชาชนส่วนใหญ่ไหม
lการเลือกตั้งปี 2566 ที่กำลังจะมาถึง พรรคก้าวไกล 52 ที่นั่ง มีปัจจัยใดที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะ ก้าวไกลทั้งแผ่นดินตามแคมเปญที่ประกาศไว้
แคมเปญ “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”ในเชิงปริมาณเราต้องการจำนวนส.ส.เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 52 ที่นั่ง ต้องมีส.ส.เขตให้มากที่สุดครอบคลุมถึงทุกภูมิภาครวมถึงภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่พรรคฝ่ายค้านจะทำพื้นที่ได้ยาก เราจึงต้องกลับมาทบทวนว่าพรรคจะต้องทำอะไรใหม่บ้าง
แผนการเลือกตั้ง ต้องกำหนดพื้นที่เป้าหมาย เช่นการป้องกันแชมป์ การหาทางเอาชนะพื้นที่ที่เคยแพ้การเลือกตั้งเพียงเล็กน้อย พื้นที่ที่มีคะแนนพื้นฐานเกินค่าเฉลี่ย 2 หมื่นคะแนน
สุดท้ายคือการกลับมาปฏิรูปตัวเอง 3 เรื่องคือ คน นโยบาย และพรรค มิติของคนต้องเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิมเพราะถูกประชาชนถามเรื่อง “งูเห่า”เยอะ ต้องปรับปรุงกระบวนการคัดสรรคน การสัมภาษณ์ การทดลองทำงาน ตรวจสอบประวัติก่อนจะส่งชิงผู้แทน เรื่องนโยบายไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างโครงสร้างกับปากท้อง ต้องเป็นนโยบายที่เป็นเรื่องเดียวกันและเราต้องแก้ปากท้องก่อน ส่วนเรื่องพรรค คือต้องระดมสมองระหว่างประชาชนกับพรรค
พรรคก้าวไกลมาไกล แต่สิ่งที่พาเรามาจากอดีตถึงปัจจุบันไม่อาจพาเราไปสู่อนาคตอันใกล้ได้ ต้องมีการปรับโฉมใหม่ของพรรคทั้งด้านนโยบาย การสื่อสาร การเข้าหาสื่อ การลงพื้นที่ การทำหน้าที่ในสภา การระดมทุน การเอาอาสาสมัครเข้ามาช่วย เหล่านี้เป็นมิติที่ต้องปฏิรูปพรรคในหลายๆรูปแบบ และจะเห็นเป็นรูปธรรมในวันที่ 9 เดือน 9 ซึ่งพรรคก้าวไกลจะเปิดแผนสู้ศึกเลือกตั้ง เวลาที่เหลือจะเป็นการเปิดตัวผู้สมัคร เปิดนโยบาย เปิดการปรับตัวของพรรค สั่นกลองรบไปเรื่อยๆจนถึงวันที่รบจริง
จุดยืนของพรรคคือการสรรหาฉันทามติใหม่ร่วมกัน ไม่เปลี่ยนไปแบบสุดโต่งและไม่อยู่กับที่ เราต้องการให้ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัติย์เป็นองค์พระประมุข อยู่เหนือประชาธิปไตยแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พรรคก้าวไกลไม่ดูถูกประชาชนกลุ่มใด เรามั่นใจคนรุ่นใหม่แต่ก็ไม่ประมาท ยุคสมัยนี้ไม่มีของตายว่าเอาเสาไฟฟ้าลงก็ยังชนะ หรือคนกลุ่มนี้ยังไงก็เลือกพรรคนี้ไม่มีเปลี่ยน ยุคนี้อะไรก็ลื่นไหลได้ตลอด ถ้าเราทำได้ดีเราก็มั่นใจว่าจะเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นผู้นำที่สามารถจะดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่มาร่วมกันพัฒนาประเทศได้ แต่เราไม่ประมาทที่จะทำให้เขาผิดหวังแล้วหันไปหาพรรคการเมืองอื่น
lการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร
เชื่อว่าการเมืองจะกลายเป็นพรรคใหญ่สองขั้วแข่งกัน ข้อดีคือการเมืองมีเอกภาพมากขึ้นในการทำงาน แต่อาจจะเกิดการหลงลืม ละเลยหลายๆเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาหลักของประชาชน เช่น สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางเพศ เรื่องชาติพันธุ์
ระบบเลือกตั้งใหม่พรรคเล็กๆไปไม่ได้แน่อาจจะต้องควบรวมกับพรรคใหญ่ ส่วนพรรคขนาดกลางก็ยังเป็นทางเลือกของประชาชน