“ศรีลังกา”ล่มสลาย ใครคือรายต่อไป?
รายงานพิเศษ
“ท่องเที่ยวศรีลังกา จิบชาซีลอน” คือประโยคที่เป็นภาพจำของประเทศศรีลังกา โดยรู้แค่ว่าเป็นเกาะอยู่ใกล้อินเดียที่เพิ่งพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแค่ไม่กี่สิบปี ชาซีลอนจึงเป็นผลผลิตและวัฒนธรรมที่ถูกปลูกฝังมาจากชาติผู้ดีนักล่าอาณานิคมในอดีตนั่นเอง
ศรีลังกาเป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งออก 23% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร เช่น ชา มะพร้าว ยางพารา และการท่องเที่ยวประมาณ 12% ของจีดีพี เป็นหลัก แต่รายได้หลักทั้งสองขาต้องสะดุดลงในช่วงโควิดแพร่ระบาดรุนแรงในช่วงปี 2563-2564 ศรีลังกาจึงได้รับผลกระทบเหมือนชาติอื่นๆทั่วโลกจนถึงปี 2565 ที่โควิดซาลง แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้เจอผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยเฉพาะด้านพลังงาน ปุ๋ย จำเป็นอาหารบางประเภทที่ศรีลังกาต้องนำเข้า 100%
หนักถึงขนาดที่วันนี้ผู้นำประเทศบอกว่า “ล่มสลาย” กลายเป็นรัฐล้มเหลว (Failed State)แล้ว
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา นายรานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ได้แถลงต่อรัฐสภายอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจของศรีลังกาขณะนี้ไม่ใช่แค่การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ไฟฟ้า และอาหาร หรือหนี้สินเยอะเท่านั้น แต่ได้พังทลายลงโดยสมบูรณ์แล้วและรัฐบาลจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก
นายกรัฐมนตรีรานิลเข้ารับตำแหน่งหลังการลาออกของ นายมหินทรา ราชปักษา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกประชาชนประท้วงขับไล่ถึงขั้นบุกเผาบ้าน ด้วยความโกรธแค้นในความผิดพลาดของการบริหารประเทศจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวศรีลังกา 22 ล้านคนเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ขาดแคลนน้ำมัน ไม่มีไฟฟ้าใช้วันละนับ 10 ชั่วโมง ขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค ฯลฯ โดยมีการรวมตัวประท้วงตั้งแต่เดือนมีนาคมส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องลาออก ประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา ต้องปรับครม.เอาคนในตระกูลราชปักษาออกจากตำแหน่งเพื่อลดแรงกดดัน
ศรีลังกาล้มละลายเพราะรายจ่ายมากกว่ารายรับ มีหนี้ต่างประเทศทั้งหมดราว 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดต้องชำระในปี2565 ประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์(บางสื่อว่า 7,000 ล้านดอลลาร์) โดยเดือนกรกฎาคมนี้มีพันธบัตรรัฐบาลครบกำหนดไถ่ถอน 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลศรีลังกาได้ประกาศ “พักชำระหนี้” ไปแล้ว
เมื่อเดือนมีนาคมรัฐบาลศรีลังกาได้เจรจาขอกู้ยืมจากจีน 2,500 ล้านดอลลาร์ ฝ่ายจีนบอกว่าจะให้กู้ 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ไชน่า ดีเวลลอปเม้นท์ แบงก์ (CDB) ของจีนให้กู้ไปแล้ว 500 ล้านดอลลาร์
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นรัฐบาลศรีลังกาได้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน จำนวน 4,000 ล้านดอลลาร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต่อมาคงลดวงเงินเหลือประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์โดยคาดว่าการเจรจาจะบรรลุข้อตกลงภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
ที่ผ่านมาศรีลังกาค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับจีนมากกว่าฝั่งตะวันตกเช่นอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา เพราะจีนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) จนจีนถูกโจมตีว่ามาสร้าง “กับดักหนี้”กับศรีลังกา ดังนั้นเมื่อศรีลังกาเจอวิกฤติหมดปัญญาใช้หนี้เลยเข้าทางสื่อตะวันตกที่เขียนบทสรุปว่าศรีลังกา “พังเพราะจีน”
อย่างไรก็ตามในข้อเท็จจริงนั้นเงินกู้จากจีนมีสัดส่วนเพียง 10% พอๆกับที่ศรีลังกากู้จากญี่ปุ่น โดยวงเงินกู้ส่วนใหญ่คือธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และสถาบันการเงินอื่นๆ
การกู้เงินมากก็อาจไม่ใช่สาเหตุแห่งความล้มเหลว หากกู้แล้วเอามาใช้ลงทุนสร้างความเจริญ สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนในประเทศ แค่ความจริงคือรัฐบาลบริหารประเทศไม่เป็น เป็นรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจของตระกูลการเมือง 2 ตระกูลคือ “ราชปักษา” และ “สิริเสนา” โดยเฉพาะในช่วงที่ราชปักษาเข้ามาบริหารแล้วเจอโควิด-19 ได้บริหารอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์
รัฐบาลราชปักษาใช้นโยบายประชานิยมเอาใจประชาชนแบบไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน ประกาศลดภาษีและยกเลิกภาษีบางประเภท ส่งผลร้ายรายได้ประเทศหดหาย ขณะที่รายจ่ายเพิ่ม สินค้านำเข้าแพง จนคลังถังแตก เกิดวิกฤติทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือน้อย รัฐบาลผิดนัดชำระหนี้ ไม่มีเงินเพียงพอนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องสั่งดับไฟฟ้า ประชาชนต้องเข้าคิวเติมน้ำมัน
ความเดือดร้อนที่หนักหนาสาหัสก่อให้เกิดความโกรธแค้นและหาทางระบายด้วยการประท้วงขับไล่จนถึงเผาบ้านรัฐมนตรี
เห็นเคสศรีลังกาแล้วหลายชาติน่าจะรู้สึกหนาวๆร้อนๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีหนี้สินเยอะ มีรายได้น้อย หรือรายได้ทางเดียวจากการท่องเที่ยวที่วูบวาบอ่อนไหวตามสถานการณ์ ชาติยากจนในแอฟริกาและเอเชียที่อยู่ภายใต้โครงการความร่วมมือBRIของจีนจึงกำลังเป็นที่จับตา
“สปป.ลาว” เพื่อนบ้านใกล้ชิดไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจคือหนึ่งในนั้นว่าจะเป็นรายต่อไปหรือไม่
ไทยเราล่ะ! รัฐบาลอาจจะออกตัวได้ว่าไม่ได้เป็นหนี้จีน เห็นไหมล่ะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ถ้าหลงเซ็นสัญญากู้เงินจีนแต่แรก วันนี้อาจเสร็จและเปิดใช้ก่อนลาว แต่ก็เท่ากับนั่งทับหนี้ก้อนใหญ่ของจีน อาจจะเจอวิกฤติหนักเหมือนศรีลังกาก็ได้
แต่อย่าลืมว่าไทยก็ยังมีหนี้ที่กู้ในประเทศไว้บานเบอะจนต้องขยายเพดานก่อหนี้ อาการ “ถังแตก”เพราะหาเงินไม่เป็น แต่ทำตัวเป็นซานตาครอสแจกเงินอย่างเดียว ผู้นำไร้วิสัยทัศน์พาประเทศเดินหน้าไม่ได้เพราะ “ติดกับดักการสืบทอดอำนาจ” หวังจะอยู่ยาว 20 ปี
ขอให้ศรีลังกาเป็นบทเรียนที่คนไทยได้ตระหนัก เพื่อว่าไทยจะไม่ใช่รายต่อไป