25/04/2024

‘สี จิ้นผิง’ : ผู้บัญชาการสงครามขจัดความยากจนของจีน

                                                

                        วันที่ 17 ตุลาคม เป็นวันช่วยเหลือผู้ยากจนแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ของจีน และเป็นวันขจัดความยากจนสากล ครั้งที่ 28 จีนเหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนเศษในการบรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจนด้วยความสำเร็จ จนถึงเวลานั้น ประชาชาติจีนจะแก้ไขปัญหาความยากจนโดยสิ้นเชิงซึ่งเรื้อรังมาเป็นเวลานับร้อยนับพันปีได้อย่างเป็นประวัติการณ์

               นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศ ครั้งที่ 18 เป็นต้นมา คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีนายสี  จิ้นผิงเป็นแกนกลาง ถือการแก้ไขอุปสรรคและความยากลำบากในการขจัดความยากจนเป็นภาระหน้าที่ขั้นพื้นฐานและดัชนีชี้วัดที่สำคัญในการสร้างสังคมมีกินมีใช้รอบด้าน มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้เอาชนะสงครามขจัดความยากจนอย่างตรงจุด ช่วยให้ประชากรราว 100 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแห่งการบรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจน คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีนายสี จิ้นผิงเป็นแกนกลางนำประชาชนทั่วประเทศใช้ความพยายามลดผลกระทบจากโควิด-19 ขับเคลื่อนสงครามบรรเทาความยากจนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ สร้างมหากาพย์แห่งการขจัดความยากจนแห่งมวลมนุษยชาติ

               ค.ศ. 2020 เป็นปีที่ไม่ธรรมดา เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 อย่างกะทันหัน ต้นเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบาดอย่างหนัก นายสี จิ้นผิงได้เรียกประชุมครั้งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการขจัดความยากจนนับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 18 พร้อมกล่าวต่อที่ประชุมว่า “ตั้งแต่การประชุมสมัชชาฯ 18 เป็นต้นมา เรายืนหยัดแนวคิดการพัฒนาที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กำหนดเป้าหมายและภาระหน้าที่ที่ชัดเจนสำหรับการทำให้ประชาชนผู้ยากจนในชนบทหลุดพ้นจากความยากไร้  อำเภอยากจนหลุดออกจากบัญชีพื้นที่ยากจนทั้งหมดและแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงภูมิภาค”

               นั่นหมายความว่า จำนวนประชากรยากจนที่ยังเหลืออีกกว่า 5 ล้านคนในจีนต้องหลุดพ้นจากความยากจนทั้งหมดและอำเภอยากจนที่ถือเป็น “ความยากจนในความยากจน” ต้องหลุดออกจากบัญชีพื้นที่ยากจนทั้งหมดก่อนสิ้นปีนี้ 

               เดือนกันยายน ปี 2020 นายสี จิ้นผิง กล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 75 ว่า “นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประชาชนจีน 1,400 ล้านคนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขจัดผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเต็มกำลังความสามารถ เร่งฟื้นฟูระเบียบการผลิตและการดำรงชีวิต เรามีความมั่นใจที่จะบรรลุการสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้านและทำให้ประชากรยากจนหลุดพ้นจากความยากไร้ด้วยความสำเร็จตามกำหนด ซึ่งจะทำให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการลดความยากจนตามวาระว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี 2030 แห่งสหประชาชาติก่อนเวลากำหนดเวลา 10 ปี”

‘ผู้บัญชาการสูงสุด’ ของการขจัดความยากจนอย่างตรงจุด

       ปัญหาความยากจนในประเทศจีนมีมานานหลายพันปี ตั้งแต่สถาปนาจีนใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังดำเนินนโยบายการปฏิรูปและเปิดสู่ภายนอก การบรรเทาความยากจนที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ชาวชนบท 700 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน

       ปี 2012 หลังการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศจีน  ครั้งที่ 18 คฑาแห่งประวัติศาสตร์ได้รับการส่งต่อมายังนายสี จิ้นผิง ช่วงนั้นจีนยังมีประชาชนยากจนถึง 98.99 ล้านคน

       การต่อสู้เพื่อบรรเทาความยากจนของจีนได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่  จากประสบการณ์ของประเทศอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่า เมื่อจำนวนผู้ยากไร้ในประเทศมีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด การลดความยากจนจะเข้าสู่ “ขั้นตอนยากที่สุด”

       พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้คำมั่นสัญญาว่า ภายในปี 2020  ประชากรยากจนในชนบททั้งหมดจะหลุดพ้นจากความยากจนภายใต้มาตรฐานปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า แต่ละปีจะต้องมีประชากรยากจนราว 10 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน เดือนหนึ่งต้องมีเกือบ 1 ล้านคน และมีถึง 20 คนต่อนาที นี่คือการต่อสู้อย่างจริงจังที่เวลานับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และยังเป็นส่วนยากที่สุดในการสร้างสังคมมีกินมีใช้

                     เดือนพฤศจิกายน ปี 2012 นายสี จิ้นผิง พบปะผู้สื่อข่าวจีนและต่างชาติหลังจากที่ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 18 ชุดที่ 1 พร้อมกับระบุว่า “ความปรารถนาของประชาชนในการมีชีวิตที่ดีขึ้น คือ เป้าหมายของเรา”

                        กว่าหนึ่งเดือนต่อมา นายสี จิ้นผิงไม่ได้คำนึงถึงความหนาวเย็นถึงอุณหภูมิระดับ -10 องศาเซลเซียส เขาโดยสารรถยนต์ไกลถึง 300  กว่ากิโลเมตร เพื่อไปยังอำเภอฟู่ผิง มณฑลเหอเป่ย ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาไท่หาง เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวยากจน ระหว่างนั่งพูดคุยกับชาวบ้าน พร้อมจับมือถามถึงความยากลำบากอย่างละเอียด เช่น ปีหนึ่งมีรายได้เท่าไร มีอาหารพอกินหรือไม่ มีผ้าห่มและถ่านหินสำหรับฤดูหนาวพอหรือไม่ รวมไปถึงการศึกษาของเด็ก ๆ ยังห่างไกลหรือไม่  และการไปหาหมอสะดวกหรือเปล่า

                        หนึ่งปีต่อมา เดือนพฤศจิกายน ปี 2013 นายสี จิ้นผิง เดินทางไปยังสือปาต้ง หมู่บ้านยากจนซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลหูหนาน  คุณป้าสือ ผาจวน ชาวเผ่าม้งผู้ไม่รู้หนังสือและไม่รู้จักโลกภายนอกต้อนรับนายสี จิ้นผิงที่บ้านของเธอเอง คุณป้าถามอย่างสุภาพว่า “เราควรเรียกท่านว่าอย่างไร” นายสี จิ้นผิง แนะนำตัวเองว่า “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลประชาชน”

                     จากนั้น นายสี จิ้นผิงพร้อมชาวบ้านก็นั่งล้อมวงกันบนพื้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีการเสนอแนวคิด “การขจัดความยากจนอย่างตรงจุด” –  เพื่อค้นหาสาเหตุของความยากจนในแต่ละครัวเรือน ไม่ใช่การนับแบบเหมารวม แต่เป็นการดำเนินงานที่มีความละเอียดประณีตเทียบเท่ากับการ “ปัก” ดอกไม้บนผ้าไหม

 นายสี จิ้นผิง อธิบายว่า “การขจัดความยากจนอย่างแม่นยำ” คือ การเลือกเป้าหมาย อุตสาหกรรม วิธีการแก้ไข และเห็นผลการขจัดความยากจนอย่างแม่นยำ ภายใต้แนวทางกลยุทธ์ดังกล่าวของนายสี จิ้นผิง  จีนได้ดำเนินการจากส่วนกลางไปสู่ระดับท้องถิ่น จากบริษัทไปจนถึงโรงเรียน จาก “ยืมไก่เพื่อได้ไข่ไก่” ไปจนถึง “การปล่อยเงินกู้รายย่อย”  ตั้งแต่ “สร้างถนนเพื่อความร่ำรวย” ถึง “การขจัดความยากจนด้วยการสร้างอุดมการณ์” จาก “ย้ายไปยังพื้นที่น่าอยู่” ไปถึง ​​”การขจัดความยากจนด้วยการท่องเที่ยว” และ “การขจัดความยากจนด้วยอีคอมเมิร์ซ”  ที่ไม่ซ้ำใครอีกมากมาย นโยบายนี้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิผลตามแนวทางของท้องถิ่น

                        นายสี จิ้นผิง ตั้งการขจัดความยากจนภายใต้การนำแบบรวมศูนย์ของคณะกรรมการกลางของพรรคฯ โดยเขาย้ำว่า ต้องให้รักษาความเป็นผู้นำของพรรคฯ ต้องเสริมสร้างพลังองค์กรพรรคฯ และต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ เลขาธิการพรรคฯ 5  ระดับ คือ มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ควรทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นพลังหลักทางการเมืองที่เข้มแข็งสำหรับการขจัดความยากจน

                        “ห่วงโซ่” ในทุกระดับของระบบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังหมุนอย่างเต็มพลัง โดยส่งทีมงานทั้งหมด  255,000 ชุด ไปประจำยังหมู่บ้านและทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรของรัฐกว่า 2.9  ล้านคน ได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการพรรคฯ หรือ ข้าราชการท้องถิ่นในหมู่บ้านที่ยากจนและหมู่บ้านที่ด้อยพัฒนา

                        นายสี จิ้นผิงจัดการประชุมพิเศษหลายชุดเพื่อทำการวิจัยและปรับนโยบายการต่อสู้กับความยากจน การประชุมแต่ละครั้งมุ่งเน้นไปที่หัวข้อต่างกัน ก่อนการประชุมแต่ละครั้ง นายสี จิ้นผิงจะเดินทางไปยังพื้นที่ยากจน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ รับฟังความคิดเห็นของข้าราชการและประชาชนในท้องถิ่น โดยจะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจากมณฑลที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับวิธีการแก้ไขตามสิ่งที่เขาได้รับรู้

                        นายสี จิ้นผิง มีแผนการและการเตรียมการทั้งหมดเป็นชุด สำหรับการต่อสู้กับความยากจน เขาเรียกร้องให้ฝ่ายต่าง ๆ รวมถึงเป้าหมาย “สองไม่ต้องกังวลและสามหลักประกัน” ต้องบรรลุให้ได้ตามกำหนดเวลา นั่นก็คือ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า การศึกษาภาคบังคับ การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน และความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย  เขาเสนอว่า “การศึกษา คือ พื้นฐานสำหรับการขจัดความยากจน”  “พยายามตัดความยากจนจากรุ่นสู่รุ่น” “ขจัดความยากจนแบบจับคู่ระหว่างภาคตะวันออกกับตะวันตก” ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายก้าวสู่ความมั่งคั่งพร้อมกัน เพราะคนรวยก่อนสามารถช่วยคนอื่นให้รวยขึ้นมาตาม

                        นายสี จิ้นผิง ชี้ให้เห็นว่า “การย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับความยากจน” การย้ายบ้านของผู้อพยพควรรับฟังความเห็นของเกษตรกรอย่างเต็มที่และให้พวกเขามีส่วนร่วมในการวางแผนหมู่บ้านใหม่ การสร้างหมู่บ้านใหม่ควรรวมกับการพัฒนาการผลิตและการส่งเสริมการจ้างงาน ตลอดจนการปรับปรุงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน

                        นายสี จิ้นผิง ย้ำหลายครั้งว่า กุญแจสำคัญในการขจัดความยากจน คือ “ห้ามไม่ให้ผู้คนมองแบบผิวเผิน ห้ามไม่เอาจริง ห้ามเน้นแต่เอกสารและการประชุม” “ผลงานของการขจัดความยากจนต้องเป็นจริง เพื่อให้ประชาชนยอมรับอย่างแท้จริง สามารถยืนหยัดและผ่านการทดสอบในทางปฏิบัติและทางประวัติศาสตร์ได้” ตลอดจน “อย่าถอยหนีหากยังไม่ได้รับชัยชนะในทุกด้าน”

                        นายยูริ ทาฟรอฟสกี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียง กล่าวว่า “ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จีนพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะความยากจน พร้อมไปกับการบริหารประเทศของนายสี จิ้นผิง การต่อสู้นี้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะการทำ “ความฝันของจีน” ให้เป็นจริงต้องมีพื้นฐานสำคัญ นั่นก็คือ ก่อนครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน จีนต้องเอาชนะความยากจน”

ปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

                        นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า “ปัญหาความยากจนที่มีมานับร้อยนับพันปีของประชาชาติจีนจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นประวัติการณ์ในยุคสมัยของเรา”

               จำนวนประชากรยากจนของจีนลดลงจาก 98.99 ล้านคนในปี 2012 เหลือ 5.51 ล้านคนในปี 2019 คิดเป็นการลดลงกว่าปีละ 10 ล้านคน ติดต่อกัน 7 ปี  ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อหัวของประชากรยากจนที่ขึ้นทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 4,124 หยวนในปี 2016  มาเป็น 9,057 หยวนในปี 2019 เติบโตขึ้นเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 30 ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านจำนวนมากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด

 “ในอดีต ดิฉันเคยปลูกมันฝรั่งและข้าวโพด ปีหนึ่งทำรายได้เพียง 2,000 หยวน ตอนนี้ ดิฉันกับลูกสาวคนโตและลูกชายต่างทำงานในบริษัท แต่ละคนมีรายได้ 2,100 หยวนต่อเดือน” กู้ เป่าชิง วัย 72 ปี เจ้าของบ้านพักหมายเลข 1 ในหมู่บ้านลั่วถั่วอวน อำเภอฝู่ผิง มณฑลเหอเป่ย ทางภาคเหนือของจีน บอกกับนักท่องเที่ยวถึงความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวของเธอ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพบางส่วนของการบรรเทาความยากจนผ่านการพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวในชนบทของจีน

               ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนมีประชากรยากจนกว่า 9 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากไร้ผ่านโครงการขจัดความยากจนด้วยการย้ายถิ่นฐาน ครอบครัวของหยาง จงชิง ชาวนาในเมืองปี้เจี๋ย มณฑลกุ้ยโจว เดิมอาศัยอยู่ในกระท่อมที่สร้างด้วยดินและหินในเขตเทือกเขา ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยเพียง 40 กว่าตารางเมตร เขากับภรรยาและลูกชายคนเล็กต้องนอนเตียงเดียวกัน ส่วนลูกสาวสามคนนอนด้วยกันอีกเตียงหนึ่ง หลังจากย้ายถิ่นฐานออกมาในปี 2018 ครอบครัวที่มีสมาชิก 6  คนนี้ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่จัดสรรโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นห้องชุดขนาด 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องรับแขก หยาง จิงชิง ได้งานเป็นช่างทำเก้าอี้หวายในโรงงานที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ยากจนโดยเฉพาะ

               พร้อมกับการลงลึกบรรเทาความยากจน ชนกลุ่มน้อยทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนซึ่งก้าวเข้าสู่ยุคสังคมนิยมจากสังคมดึกดำบรรพ์หรือสังคมทาสในช่วงเริ่มแรกของการสถาปนาประเทศจีนขึ้นใหม่ก็ค่อย ๆ พ้นจากความยากไร้ที่มีมานับพันปี พร้อมเร่งฝีก้าวแห่งการโอบรับอารยธรรมยุคปัจจุบัน

               “การหลุดพ้นความยากจนเป็นเพียงก้าวแรก วันข้างหน้าจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” เดือนเมษายน ปี 2019 นายสี จิ้นผิง ตอบจดหมายถึงบรรดาชาวบ้านในตำบลตู๋หรงเจียง อำเภอกงซาน มณฑลหยุนนาน เพื่อแสดงความยินดีที่ชนเผ่าตู๋หรงหลุดพ้นจากความยากจนโดยรวมและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีวันดีคืน

               ภารกิจการขจัดความยากจนของจีนภายใต้การนำของนายสี จิ้นผิงได้ส่งเสริมกระบวนการแก้ไขปัญหาความยากจนของมวลมนุษยชาติอย่างมีพลัง  เดือนกันยายน ปี 2015 ในที่ประชุมสุดยอดเพื่อรำลึกการก่อตั้งสหประชาชาติ ครบรอบ 70 ปี นายสี จิ้นผิง ในนามรัฐบาลจีนได้เสนอมาตรการใหม่หลายประการเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งรวมถึงการก่อตั้งกองทุนช่วยเหลือความร่วมมือใต้-ใต้ เพิ่มการลงทุนในประเทศด้อยพัฒนาที่สุดต่อไป ตลอดจนก่อตั้งสถาบันการพัฒนาและความร่วมมือใต้-ใต้

                         ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา จีนให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศรายทาง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ในการเพิ่มตำแหน่งงานและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจากสถิติของกระทรวงพาณิชย์จีน แม้เผชิญผลกระทบจากโควิด-19 แต่ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม วิสาหกิจจีนยังคงลงทุนโดยตรงที่ไม่ใช่ประเภทการเงินใน 54 ประเทศรายทาง“หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ถึง 72,180 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายงานวิจัยธนาคารโลกฉบับหนึ่งยังระบุด้วยว่า ข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” จะช่วยให้ประชากรราว 7.6 ล้านคนในประเทศที่เกี่ยวข้องหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรงที่สุด ขณะที่ราว 32 ล้านคนจะหลุดพ้นจากความยากจนระดับปานกลาง

                    เดือนมิถุนายน ปี 2018 นายบุนยัง วอละจิด เลขาธิการใหญ่  คณะกรรมการกลางพรรคประชาชนปฏิวัติ ประธานาธิบดีลาว เดินทางถึงหมู่บ้าน  18 ถ้ำ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนกลุ่มน้อยในมณฑลหูหนาน เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ของจีนในการขจัดความยากจนอย่างตรงจุด หลังเดินสำรวจหมู่บ้านครบหนึ่งรอบตามเส้นทางเดียวกันที่นายสี จิ้นผิงเคยเดินสำรวจ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าประธานาธิบดีลาว คือ ปรากฏการณ์แห่งการพัฒนาที่คึกคักเป็นพิเศษ ทางแคบ ๆ ซึ่งเดิมมีความกว้าง 3.5 เมตรท่ามกลางเทือกเขาที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดได้กลายมาเป็นถนนคอนกรีตที่มีความกว้าง 6 เมตร มีทางเดินปูด้วยแผ่นหินถึงหน้าบ้านทุกหลัง มีน้ำประปาเข้าถึงทุกครัวเรือน ทั้งยังมีทางเดินเล่นชมวิว ที่ทำการไปรษณีย์ ตู้ ATM และโฮมสเตย์ นอกจากนี้ หมู่บ้านแห่งนี้ยังสร้างหอสมุดชาวนาและก่อตั้งชมรมคนรักบทกวีขึ้นโดยความร่วมมือจากบริษัทด้านวัฒนธรรม

   นายบุนยัง วอละจิด กล่าวว่า “ที่หมู่บ้าน 18 ถ้ำ ข้าพเจ้าได้เห็นกับตาถึงประสิทธิผลของการแก้ไขความยากจนในเขตห่างไกลและยากจนของจีน ทำให้รู้สึกซาบซึ้งถึงความเป็นผู้นำของเลขาการใหญ่สี จิ้นผิงมากยิ่งขึ้น เลขาธิการใหญ่สี จิ้นผิงไม่เพียงแต่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ใส่ใจบ้านเมืองเท่านั้น หากยังเอาใจใส่การผลิตและชีวิตความเป็นอยู่ของชนกลุ่มน้อย ตลอดจนสอบถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกลอีกด้วย ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้อย่างจริงจังของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว”

               สงครามขจัดความยากจนของจีนกำลังได้ชัยชนะที่ทั่วโลกจับตามอง แต่นายสี จิ้นผิง เน้นหลายครั้งว่า “การถอดหมวกความยากจน” หาใช่เป็นจุดหมายปลายทาง หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่และการต่อสู้ครั้งใหม่

               เดือนกันยายน ปี 2020 นายสี จิ้นผิง เดินทางไปตรวจเยี่ยมมณฑลหูหนานอีกครั้ง พร้อมกับเน้นเป็นพิเศษว่า ต้องสร้างและปรับปรุงกลไกระยะยาวสำหรับป้องกันการหวนกลับไปยากจน เขายังเสนอด้วยว่า ต้องลงลึกศึกษาการขับเคลื่อนการแก้ไขความยากจนอย่างรอบด้าน ประสานกับการพัฒนาชนบทให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งออกคำสั่งใหม่ให้คัดเลือกบุคลากรลงพื้นที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่หนึ่งประจำหมู่บ้านต่อไป

                          นายสี จิ้นผิง มั่นใจเรื่องที่จีนจะบรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจนและแก้ไขปัญหาความยากไร้ที่ดำรงอยู่เป็นเวลานับร้อยนับพันปีของประชาชาติจีนตามกำหนดเวลาด้วยความสำเร็จ พร้อมทั้งกำลังวางแผนยุทธศาสตร์ใหม่ของจีนหลังเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างสังคมมีกินมีใช้

“ขาดใครไม่ได้แม้เพียงคนเดียว”

“หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าทำงานด้านการบรรเทาความยากจนมาโดยตลอด ความจริงข้าพเจ้าคือคนที่มาจากพื้นที่ยากจนมาก่อน ”ปลายทศวรรษ 1960 แห่งศตวรรษที่ 20 นายสี จิ้นผิง ในวัย 15 ปี เดินทางไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ในมณฑลส่านซี เพื่อเริ่มต้นการใช้ชีวิตอันยากลำบากแต่ได้ประโยชน์ตลอดชีพเป็นเวลานานถึง 7 ปี ในฐานะปัญญาชนรุ่นใหม่ที่ลงพื้นที่ปฏิบัติงานในชนบทตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น เขาอาศัยอยู่ในถ้ำ นอนบน “เตียงถู่คั่ง” ซึ่งเป็นแท่นสี่เหลี่ยมก่อด้วยดินหรืออิฐ ทนต่อการถูกหมัดกัด นำพาชาวบ้านขุดบ่อน้ำ ทำการเกษตร และนาขั้นบันได รวมไปถึงบ่อก๊าซชีวภาพ นายสี จิ้นผิง เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นี่และเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำหมู่บ้านแห่งนี้ ความปรารถนาสูงสุดของเขาในเวลานั้น คือ “ให้ชาวบ้านได้รับประทานเนื้อสัตว์อย่างอิ่มหนำสำราญสักครั้งหนึ่ง”

ต่อมานายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำอำเภอเจิ้งติ้ง ในมณฑลเหอเป่ย เขาปฏิบัติงานจนสามารถปลดชื่ออำเภอแห่งนี้ออกจากทะเบียน “อำเภอผลผลิตมากแต่ยากจน” แม้จะมีความเสี่ยงต่อตำแหน่งในเวลานั้นก็ยอม ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน นายสี จิ้นผิง นำทีมงานค้นหาหนทางบรรเทาความยากจนด้วยแนวคิด “นกอ่อนแอต้องขึ้นบินก่อน” จนกระทั่งมีตำแหน่งสูงขึ้นสู่ระดับมณฑลและส่วนกลางในที่สุด นายสี จิ้นผิง “ทุ่มสุดกำลัง” ในเรื่องการแก้ไขความยากไร้มาโดยตลอด

นายสี จิ้นผิง ย้ำหลายครั้งว่า “ความยากจนหาใช่สังคมนิยม” ในการขับเคลื่อนสงครามต่อสู้ความยากจน เขายืนหยัดแนวคิดประชาชนสำคัญที่สุดและเป็นศูนย์กลางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เน้นย้ำ “การขจัดความยากจน ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและบรรลุความมั่งคั่งร่วมกันอย่างเป็นขั้นตอนเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของสังคมนิยมอีกทั้งยังเป็นภาระหน้าที่สำคัญของพรรคเราด้วย”

จ้าว หลู่ฉี เจ้าหน้าที่ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมงานของนายสี จิ้นผิง สมัยทำงานในระดับล่างที่มณฑลฝูเจี้ยน กล่าวว่า “สิ่งที่นายสี จิ้นผิงสร้างความประทับใจแก่ผมมากที่สุด คือ เขาใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนตลอดเวลา”

ท่ามกลางสงครามขจัดความยากจน นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่ง“ผู้บัญชาการสูงสุด” และ “นำการรบ” ด้วยตนเอง เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าส่งเสริมจิตใจแห่งการตอกตะปู นี่ต้องเริ่มต้นจากข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอด้วยจิตใจแห่งการตอกตะปู”

       ตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 18 เป็นต้นมา ระหว่างการลงพื้นที่ตรวจงานในประเทศราว 80 ครั้งของนายสี จิ้นผิง การแก้ไขอุปสรรคและความยากลำบากด้านการขจัดความยากจนนั้นเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ เขาเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,000 เมตร เดินทางไปเยี่ยมเยียนสมาชิกพรรคฯ ผู้สูงวัย และชาวบ้านยากจน ฝ่าความหนาวเย็นที่อุณหภูมิติดลบถึงกว่า 30 องศาเซลเซียส เพื่อเยี่ยมเยียนพนักงานป่าไม้ยากจนในตำบลชายแดน ตรวจถ้ำใต้ดินและข้าวของฉลองเทศกาลตรุษจีน จับผนังทำความร้อนเพื่อวัดระดับความอบอุ่น เยี่ยมบ้านครอบครัวชนรุ่นหลังของวีรชนทหารแดงผู้สละชีพเพื่อชาติ ตรวจดูห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ และลานหลังบ้านอย่างละเอียด สอบถามว่ายังคงประสบความลำบากและต้องการอะไรอีกหรือไม่ เดินเยี่ยมโรงเรือนซึ่งควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบอัจฉริยะในอุทยานเกษตร พูดคุยเรื่องควรแก้ไขความยากจนอย่างไรกับชาวบ้านที่กำลังทำงาน เดินทางไปบ้านของชนกลุ่มน้อย ตลอดจนรับทราบสภาพต่าง ๆ เช่น การมีงานทำ รายได้ การรักษาพยาบาล และการประกันสังคม เป็นต้น

       “ผู้ที่ฉลาดในการบริหารบ้านเมือง ต้องปฏิบัติต่อชาวบ้านเสมือนดั่งพ่อแม่รักลูก พี่ชายรักน้องชาย รู้สึกเศร้าเสียใจเมื่อได้ยินพวกเขาประสบภัยหนาวและขาดอาหาร ทั้งยังรู้สึกเจ็บใจเมื่อเห็นพวกเขาประสบกับความทุกข์ยาก” นายสี จิ้นผิง เคยพูดเช่นนี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในฟอรั่มระดับสูงว่าด้วยการลดความยากจนและการพัฒนาในปี 2015 ซึ่งนับเป็นภาพสะท้อนถึงการที่นายสี จิ้นผิงทุ่มเททำงานขจัดความยากจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

        นายสี จิ้นผิง กล่าวเน้นว่า สมาชิกพรรคฯ และเจ้าหน้าที่เราต่างควรตระหนักว่า ขอเพียงยังมีครอบครัวหนึ่งหรือแม้กระทั่งคนเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน เราก็จะไม่สามารถอยู่อย่างปกติสุขได้ เขากล่าวบ่อยครั้งว่า “การสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้านนั้น ประชาชนจีนกว่า 1,300 ล้านคน ขาดเพียงคนเดียวก็ไม่ได้” “การสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน ขาดชนเผ่าใดก็ไม่ได้” “การสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน ขาดใครเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ โดยเฉพาะต้องไม่ลืมพื้นที่ที่เคยเป็นฐานที่มั่นแห่งการปฏิวัติเพื่อก่อตั้งประเทศจีนใหม่” “การสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน เป็นคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นของพรรคฯ เราที่มีต่อประชาชนและประวัติศาสตร์เป็นความใฝ่ฝันรวมกันของประชาชนจีนกว่า 1,300 ล้านคน”

     หลังนายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคฯ  เป็นเวลา 4 ปีเศษ เขาลงพื้นที่ยากจนข้นแค้นเป็นพิเศษทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ จากที่ราบสูงดินเหลืองถึงที่ราบสูงทิเบต จากพื้นที่ฐานที่มั่นการปฏิวัติเดิมถึงเขตชนกลุ่มน้อย จากพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวถึงชายแดนอันห่างไกล บางครั้งเพื่อเดินทางสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งนายสี จิ้นผิงต้องขึ้นเครื่องบินต่อด้วยรถไฟและรถยนต์ ที่หมู่บ้านหวาซี ตำบลจงอี้ อำเภอปกครองตนเองชนเผ่าถู่เจีย นายสี จิ้นผิง เคยกล่าวว่า “เปลี่ยนยานพาหนะสามอย่างกว่าจะถึงที่นี่ก็เพื่อมาตรวจดูว่ามาตรการสองหมดห่วงและสามหลักประกันได้รับการปฏิบัติตามอย่างแท้จริงหรือไม่” (มาตรการสองหมดห่วง หมายถึง หมดห่วงด้านอาหารการกินและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ส่วนสามหลักประกัน หมายถึง หลักประกันด้านการศึกษาภาคบังคับ การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน และความปลอดภัยด้านที่อยู่อาศัย)

      ในแนวหน้าของการขจัดความยากจน นายสี จิ้นผิง นอกจากเยี่ยมเยียนผู้ยากจนแล้วยังเน้นการตรวจงานการช่วยเหลือผู้ยากจนผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยว เป็นต้น เดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ที่มณฑลส่านซี นายสี จิ้นผิง เดินทางไปยังพื้นที่หลักในเขตยากจนเป็นพิเศษ เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวชาวนาและโรงงาน คลิปวิดีโอที่เขาชื่นชมท้องถิ่นว่า“เห็ดหูหนูจิ๋ว ธุรกิจใหญ่” ผ่านแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดจากหมู่บ้านได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนอินเทอร์เน็ต สื่อมวลชนรายงานว่า มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 20 ล้านคน รุดไปยังเว็บไซต์เถาเป่าซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดขายสินค้า 3 ห้องพร้อมกัน ทำให้เห็ดหูหนูกว่า 20 ตันขายหมดเกลี้ยง นอกจากนี้  นายสี จิ้นผิง ยังได้รับคำชื่นชมจากบรรดาชาวเน็ตว่า เป็น “สุดยอดพรีเซ็นเตอร์สินค้าออนไลน์”

       ปี 1997 นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำมณฑลฝูเจี้ยน ควบตำแหน่งหัวหน้าภารกิจของมณฑลฝูเจี้ยนในการจับคู่ช่วยเหลือมณฑลหนิงเซี่ยขจัดความยากจน ได้เดินทางไปยังมณฑลหนิงเซี่ย หนึ่งในงานหลักที่เขาขับเคลื่อนการช่วยเหลือเขตหนิงเซี่ยขจัดความยากไร้ คือ การแก้ไขปัญหาขาดน้ำอุปโภคบริโภค เขาลงลึกโครงการสร้างบ่อเก็บน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำใช้ในครัวเรือน รวมถึงส่งเสริมการขุดบ่อทรงกลมขนาดเล็กสำหรับเก็บน้ำบาดาลและสูบเข้าพื้นที่เกษตรเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาการขาดน้ำสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรในท้องถิ่น

  เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 นายสี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านหยางหลิง ตำบลต้าอวน อำเภอจิงหยวน มณฑลหนิงเซี่ย เพื่อสำรวจสภาพการช่วยเหลือผู้ยากไร้อย่างตรงจุด ระหว่างลงพื้นที่ตรวจงาน นายสี จิ้นผิง ให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกในการอาบน้ำของชาวบ้านเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินว่ามีการติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า“ดีมากเลย” เขายังสอบถามเด็กชายในบ้านหลังนั้นด้วยว่า “อาบน้ำบ่อยไหม”

     เดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 นายสี จิ้นผิง กล่าวในการประชุมสัมมนาว่าด้วยการเอาชนะสงครามขจัดความยากจนว่า “ตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 18 เป็นต้นมา ข้าพเจ้าเดินทางลงพื้นที่ศึกษาและตรวจงานในเขตยากจนทุกปี หลายปีก่อน เวลาเดินทางตามถนนบนเขตภูเขารถยนต์แกว่งไปแกว่งมา  เมื่อเข้าสู่หมู่บ้านก็พบถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ วันที่แดดจ้าจะมีฝุ่นติดเต็มรองเท้า  ส่วนเวลาฝนตกถนนจะกลายเป็นดินโคลน บ้านเรือนของครอบครัวยากจนเป็นพิเศษอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก บางครัวเรือนไม่มีอะไรในบ้านเลย ปีหนึ่งชาวบ้านยากไร้จำนวนหนึ่งมีโอกาสทานเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่ครั้ง เด็ก ๆ จำนวนไม่น้อยไม่มีโอกาสเรียนหนังสือหรือต้องหยุดเรียนกลางคัน คนจำนวนมากเวลาป่วยไม่มีเงินไปหาหมอ รู้สึกหนักใจมากจริง ๆ แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปยังหมู่บ้านยากจนบางแห่งอีกครั้งกลับพบการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ถนนหนทางมีความราบเรียบและเชื่อมโยงถึงกันหมด บ้านหลังใหม่สร้างขึ้นติด ๆ กันมากมาย มวลชนยากจนไม่มีปัญหาปากท้องและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอีกแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าของชาวบ้านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจและซื่อสัตย์ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก ๆ ”

แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *