20/04/2024

พ.ศ.2565 ฟ้าใหม่ หรือฟ้าหม่น

ปลายซอย 17 / ขุนพล กอเตย

เมื่อกลางเดือนธันวาคม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่ข้อมูลที่ดูเหมือนเป็นข่าวดีว่า เม็ดเงินใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 รวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% จากปี 2564 โดยหนึ่งในสามหรือประมาณ 10,750 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มสำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์ รองลงมาประมาณ 8,100 ล้านบาท เพื่อการช้อปปิ้ง 7,800 ล้านบาท เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 1,900 ล้านบาท คาดว่าจะถูกใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมสันทนาการดูหนัง ฟังเพลง ส่วนผู้นิยมความสงบสุขทางใจคาดว่าจะเข้าวัดทำบุญ 1,350 ล้านบาท ที่เหลือจะใช้จ่าย 600 ล้านบาทให้เงิน ให้ของขวัญแก่คนในครอบครัว
ม.หอการค้าไทยมองต่าง


แต่สำหรับ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กลับมองต่างว่าเพราะผลสำรวจที่ออกมาสะท้อนว่าประชาชนยังมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและความรุนแรงของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เผชิญอยู่
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่าปริมาณเม็ดเงินสะพัดจากการใช้จ่ายในช่วงส่งท้ายปีเก่า 2564 ต้อนรับปีใหม่ 2565 ทั่วประเทศอยู่ที่ 85,796 ล้านบาท ติดลบ 6.2% จากปีก่อนหน้า โดยแยกเป็นเงินสะพัดในกรุงเทพฯ 35,176 ล้านบาท
ดร.ธนวรรธน์ กล่าวแสดงความเห็นด้วยว่า เดิมคิดว่าเงินจะสะพัดถึง 1.3 แสนล้านบาทจากการเปิดประเทศและคลายล็อค แต่การระบาดของโอไมครอนมีผลให้การใช้จ่ายหดตัวลงเหลือ 8.5 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นสถิติมูลค่าต่ำสุดในรอบ 12 ปีนับจากปี 2554


หลังปีใหม่เจอแน่ “โอไมครอน”
แม้ว่านักการเมืองอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เจ้าของฉายา “ว้ากซีน” ที่สื่อตั้งให้จะออกมาพูดว่า “โควิดเป็นเชื้อไวรัสติดเชื้อที่กระจอก” ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณผิดๆแก่คนในประเทศ แต่หมอในกระทรวงสาธารณสุขก็ต้องส่งคำเตือนต่อประชาชนให้เข้าใจถึงภัยร้ายจากเชื้อไวรัสว่าถ้าประมาทหรือการ์ดตกก็มีโอกาสกลับสู่สถานการณ์วิกฤติอีกครั้งที่คราวนี้อาจติดเชื้อสูงวันละ 30,000 ราย เสียชีวิตวันละ 180 ราย
“หมอยง”หรือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าการแพร่ระบาดของโอไมครอนในไทยไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมาย เพราะสายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แม้ในผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มมาแล้ว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เทศกาลเฉลิมฉลอง รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายของประชากรจำนวนมาก จะช่วยให้มีการแพร่กระจายของโรคได้เร็วขึ้นอีก
การที่กรุงเทพมหานคร(กทม.) ตัดสินใจยกเลิกการจัดงานประเพณีวันขึ้นปีใหม่ และการสวดมนต์ข้ามปี ถือเป็นการขานรับเสียงเรียกร้องขององค์การอนามัยโลก (WHO) และน่าจะเป็นตัวอย่างอันดีต่อจังหวัดอื่นๆในการงดกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการปล่อยให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดใหญ่อีกครั้ง
แต่ความไม่เด็ดขาดและความประมาทเหมือนเดิมเมื่อเห็นตัวเลขลวงตาว่ามีผู้ติดเชื้อลดลง ตายน้อยลง ผ่อนคลายประกาศให้ขายเหล้าเบียร์ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยังปล่อยให้ภาคเอกชนและต่างจังหวัดต่างๆจัดงานเคาท์ดาวน์ตามแผนเดิม โดยเพียงแค่ขอความร่วมมือให้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐซึ่งคงไม่มีใครไปตามตรวจว่าทำได้จริงจังแค่ไหน
ดูเหมือนว่ามาตรการที่รัฐบาลและ ศบค.เตรียมการหลังจากเทศกาลปีใหม่ คือขอความร่วมมือให้หน่วยงานของรัฐอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทำงานที่บ้าน (Work from Home) ให้ได้มากที่สุดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ส่วนภาคเอกชนก็คงใช้มาตรการตัวใครตัวมันไปก่อนตามสถานการณ์ที่เป็นจริง
ยุโรป-อเมริการะบาดหนัก
สถานการณ์โควิดในไทยที่มีแนวโน้มกลับมาระบาดระลอกที่ 5 หลังฉลองปีใหม่ หากยังไม่ปลุกให้รัฐบาลตื่นตัวพอก็อยากให้ช่วยกันติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดโดยในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ทำท่าจะผจญวิกฤติด้านสาธารณสุขอีกครั้ง
วันนี้ชาติที่ทำตัวเป็นผู้นำโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นผู้นำยอดผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 53 ล้านราย เสียชีวิตสะสมทะลุ 8.4 แสนราย มีผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่า 2 แสนราย/วัน แม้จะเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา แต่มีปัญหาการฉีดวัคซีนยังไม่ถึง 70% ของจำนวนประชากร 330 ล้านคน โดยมี 200 ล้านคนที่ฉีดครบโดส 48 ล้านคนที่ได้ฉีดเข็มกระตุ้น อีกประมาณ 90 ล้านคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ซึ่งมีทั้งความเชื่อในเสรีภาพ ความเชื่อว่าโควิด-19 เป็นวัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ใครอยู่หรือตาย ความรู้สึกต่อต้านวัคซีน หรือคิดแม้กระทั่งว่าเป็นแผนของรัฐบาลที่จะฝังนาโนชิปเพื่อสอดแนมพลเรือน
ส่วนที่ยุโรปนั้นประเทศอังกฤษ มียอดติดเชื้อสะสม 12.2 ล้านราย สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก เสียชีวิตสะสมมากกว่า 1.48 แสนราย ติดเชื้อใหม่มากกว่าวันละ 1 แสนคน ขณะที่ฝรั่งเศสมียอดติดเชื้อสะสมมากกว่า 9 ล้านราย เสียชีวิตสะสมมากกว่า 1.22 แสนราย ก็กำลังเผชิญปัญหาหนักเมื่อผู้ติดเชื้อโอไมครอนพุ่งมากกว่าวันละ 1 แสนรายเช่นกัน ทำให้รัฐบาลต้องเรียกร้องให้ประชาชนเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นและกลับมาใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
จีนเข้ม “โควิดเป็นศูนย์”
เทียบกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่อเมริกาไล่ฟัด วันนี้รัฐบาลจีนที่ยึดนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”ได้ระดมฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วมากกว่า 1,000 ล้านคน หรือกว่า 77% ของจำนวนประชากร 1,439 ล้านคน โดยตั้งเป้าหมายไว้ไม่ต่ำกว่า 80% เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
จีนเข้มงวดกับโควิด-19 ถึงขนาดสั่งล็อคดาวน์เมืองซีอานที่มีประชากร 13 ล้านคนหลังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา 140 คน ลงโทษเจ้าหน้าที่เมืองที่หละหลวมปล่อยให้เกิดการระบาด เพราะกำลังจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์
เศรษฐกิจเปราะบาง-ไม่แน่นอน
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวเรือเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องพูดบวกให้ความหวังว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ให้ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี
ส่วนมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจปี 65 มีทั้งความท้าทาย และเปราะบางต่อความเสี่ยงที่จะเจอวิกฤติอีกระลอก ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ศึกษาว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 น่าจะขยายตัวประมาณ 3.9% ภายใต้ความไม่แน่นอนหลายประการคือ การควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีจีนเป็นปัจจัยสำคัญ และ ภาวะเงินเฟ้อ
ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ให้ความเห็นว่าในปี 2565 ความไม่แน่นอนและความไม่สมดุลในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงมีอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับปี 2563-2564 ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญ 5 ประการคือ 1.การระบาดของโควิด-19 2.รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.เงินเฟ้อสูง 4.นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่แตกต่างกัน และ 5.ทิศทางของประเทศจีน
ด้านศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองการเติบโตปี 2565 แบ่งเป็น 3 กรณี 1. หากปี 2564 โตได้ 1.5% ปี2565 จะโต 4.2% กรณีที่ 2.หากแย่กว่าที่คิดปี2564 โตแค่ 1.3% ปี 2565จะโต 3.6% กรณีที่ 3. หากดีกว่าที่คาด ปี 2564 โตถึง 1.7% ปี 2565 จะโต 4.5%
ไม่ว่านักเศรษฐศาสตร์จะพยากรณ์ยังไงแต่ปัจจัยสำคัญที่สุดของสยามประเทศก็คือ “นักการเมือง”ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความสามารถแย่งชิงอำนาจกันได้ทุกสถานการณ์
การเมืองปีเสือลำบาก
นักวิเคราะห์การเมืองมองปี 2565 น่าจะเป็น “ปีเสือลำบาก”สำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้เหมือนขี่หลังเสือที่อยากลงก็ลงไม่ได้ อาจจะด้วยเหตุผลที่ ส.ว.วันชัย สอนศิริ โพลต์เฟสบุ๊กไว้ว่า ปี2565รัฐบาลอาจไปไม่รอด เพราะนักการเมืองมีทั้งเสือหิวและเสือซุ่มที่พร้อมจะรุมขย้ำสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา อุบัติเหตุทางการเมืองพร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ
รัฐบาล 3 ป.มีการแสดงความพยายามจะอยู่ยาวให้ครบวาระในปี 2566 แต่ก็มีความคาดหวังว่าจะมีการยุบสภา คืนอำนาจแก่ประชาชนสำหรับการเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไข
ระหว่างนั้นอาจจะได้เห็นการประลองกำลังระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านในศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในช่วงกลางปี เช่นเดียวกับจะได้เห็นการกลับมาของม็อบเยาวชนที่ออกมากดดันรัฐบาลทวงคืนประชาธิปไตย มีโอกาสที่ม็อบเกษตรกรจะบุกกรุง หรือกลุ่มคนอาชีพต่างๆที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อออกมาเรียกร้องการช่วยเหลือจากรัฐบาล
สุดท้ายแล้วถนนทุกสายยังคงมุ่งสู่พรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำของรัฐบาล ที่ซูเปอร์โพลยกก้นให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค เป็น “บุคคลแห่งปี2564”แม้จะไม่เคยรู้อะไรสักอย่างก็ตาม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *