24/04/2024

จีนพิสูจน์เดินมาถูกทาง นโยบายโควิดเป็นศูนย์

 

 

โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

หลังจากพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตลอด 2 ปี นานาชาติต่างมีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่าคงไม่สามารถเอาชนะไอ้เชื้อบ้าที่พัฒนาตนเองมาสู้กับวัคซีนหรือภูมิต้านทานได้  แม้แต่องค์การอนามัยโลก(WHO) ยังบอกเลยว่ามนุษย์โลกคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เช่น ไข้หวัดใหญ่  โดยพลเมืองในแต่ละประเทศต้องฉีดวัคซีนป้องกันและต้องปรับใช้ชีวิตวิถีใหม่ New Normal ที่มีการระวังป้องกันการติดเชื้อให้มากขึ้น

การที่โลกสามารถผลิตวัคซีนได้มากขึ้น  มีการกระจายวัคซีนและระดมฉีดแก่ประชากรโลกได้มากขึ้นจนมีผลให้การแพร่ระบาดเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด  การติดเชื้อที่ลดลง  ภาพผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลจนเตียงล้นออกมานอนบนถนนหายไป  ภาพผู้ป่วยหนักที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจกลายเป็นเพียงตัวเลขที่รายงานว่าอยู่ในระดับที่แพทย์พยาบาลรับมือได้  ไปจนถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดน้อยลง  ทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มวางใจผ่อนคลายความเข้มงวด  เลิกบังคับสวมหน้ากาก  เลิกสั่งWork from Home  จนถึงขั้นเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งแบบไม่ต้องกักตัว

ใครจะดำเนินนโยบายยังไงก็ช่าง  แต่สำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 เป็นแห่งแรกที่เมืองอู่ฮั่น จนต้องล็อคดาวน์ทั้งเมืองแล้วต้องเกณฑ์แพทย์พยาบาลทั่วประเทศมาทำสงครามกับเชื้อไวรัสอยู่หลายเดือนกว่าจะหยุดการแพร่ระบาดในประเทศได้  หลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ส่งความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การแพทย์และวัคซีนไปให้แก่นานาชาติ  แต่จนถึงปัจจุบันจีนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดประเทศและดูมีแนวโน้มจะยังปิดพรมแดนไปจนถึงปลายปีหน้าเพราะรัฐบาลจีนเลือกที่จะใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”

จีนให้เหตุผลว่าเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มพบที่เมืองอู่ฮั่นนั้นเป็นเชื้อนำเข้าจากชาวต่างชาติ (เคยมีข่าวระบุว่าเป็นทหารอเมริกัน)   ผลวิจัยออกมาว่าหากเปิดประเทศรับชาวต่างชาติอีกครั้งจะมีความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดมีผู้ติดเชื้อมากกว่าวันละ 630,000 ราย  ซึ่งในจำนวนนี้จะมีอาการรุนแรงมากกว่า 23,000 ราย  อันจะมีผลกระทบกระเทือนต่อระบบสาธารณสุขของจีนในการรับมือกับสถานการณ์

วิธีการที่จีนใช้รับมือกับโควิด-19 ที่เป็นมาตรฐานคือ  ถ้าเจอผู้ติดเชื้อที่ไหนต้องควบคุมที่นั่นและทำการตรวจเชื้อในวงกว้างทันที  หากจำเป็นก็ต้องสั่งล็อคดาวน์กักบริเวณทั้งชุมชนหรือทั้งเมือง  มีการควบคุมท่าเรือ สนามบิน สถานีรถไฟ พรมแดน ควบคุมการเดินทางขาเข้า  ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งระงับชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นผู้มีหน้าที่จำเป็น

ตัวอย่างของความเข้มงวดเด็ดขาดชองจีนคือกรณีที่ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า 1 คนที่มีประวัติไปเที่ยว “สวนสนุกดิสนีย์แลนด์เซี่ยงไฮ้” เมื่อปลายเดือนตุลาคม  ทางการจีนสั่งล็อคดาวน์สวนสนุกทันทีพร้อมกักตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดในขณะนั้นกว่า 34,000 คนเพื่อทำการคัดกรองตรวจหาเชื้อทุกคน  นอกจากนี้ยังสั่งให้คนที่เคยไปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในช่วงเวลานั้นอีกกว่า 100,000 คนให้ไปตรวจหาเชื้อด้วย

คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติจีนยืนยันว่ามาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนนั้นสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์  เป็นการสร้างปราการที่เข้มแข็งในการยับยั้งผู้ติดเชื้อนำเข้าและการแพร่ระบาดในท้องถิ่น  ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม

จีนอธิบายเหตุผลที่ยังต้องใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์เพราะเชื่อว่าหากปล่อยให้เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงจะมีผลให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจำนวนมาก  การที่สื่อตะวันตกโจมตีจีนในเรื่องนี้ก็เพราะชาติตะวันตกทำแบบจีนไม่ได้เพราะอาจจะเกิดการประท้วงรุนแรง  แค่ให้สวมหน้ากากก็ประท้วง  จะบังคับให้ฉีดวัคซีนก็ประท้วงกลายเป็นจลาจลหลายประเทศโดยอ้างความเป็นประชาธิปไตย

ตะวันตกวิจารณ์จีนว่า “ปอดแหกเกินไป”ที่ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์เลยทำตัวโดดเดี่ยวในเวทีโลก  เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่เดินทางออกนอกประเทศเลย  ไม่เข้าร่วมประชุมเวทีใหญ่ของโลกเลยในขณะที่ผู้นำชาติอื่นๆเขาไปกันหมด

แต่ผู้วิจารณ์ลืมไปว่าแม้ตัวจริงจะไม่ได้ไป  แต่ภาพและเสียงก็เป็นข่าวมาได้ตลอดทั้ง 2 ปี สี จิ้นผิงไม่เคยตกกระแส  มิหนำซ้ำยังมาแรงแซงอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์   สิ่งสำคัญคือคำพูดของผู้นำจีนที่ถ่ายทอดออกมา  นโยบายหรือจุดยืนของจีนที่บอกกล่าวแก่ชาวโลก  ความสัมพันธ์ที่จีนมีต่อนานาประเทศสะท้อนว่าจีนไม่ได้เสียพื้นที่ข่าวเลย

ส่วนที่ว่าการปิดประเทศจะทำให้จีนถูกทิ้งไว้ข้างหลังในขณะที่นานาประเทศกลับมาเปิดพรมแดนกันอีกครั้งก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้น  เพราะจีนไม่ได้หยุดค้าขาย  การส่งออก-นำเข้ายังดำเนินต่อไป  จีนพิสูจน์ว่าการค้าขายระหว่างประเทศยังขยายตัว  จะมีก็เพียงด้านการท่องเที่ยวที่จีนยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ  เช่นเดียวกันที่คนจีนยังไม่ออกเดินทางไปต่างประเทศ

ระบบเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้  อาศัยตลาดในประเทศพลเมือง 1,439 ล้านคน ที่มีชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อทำให้ภาคบริการมีการเติบโตสูง  ประกอบกับการฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่เร็วกว่าทุกประเทศทำให้จีนสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น

ในช่วงฤดูหนาวที่เชื้อโควิดแพร่ระบาดได้ง่ายรัฐบาลจีนจะยิ่งเข้มงวดกับมาตรการระวังป้องกัน  โดยเฉพาะที่กรุงปักกิ่งซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวระหว่างวันที่ 4-20 กุมภาพันธ์ 2022 จีนย่อมไม่ปล่อยให้เชื้อโควิด-19 เล็ดลอดเข้าไปแน่เหมือนอย่างที่เกิดในงานโอลิมปิกฤดูร้อนเมื่อช่วงกลางปีนี้ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันรัฐบาลจีนฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วมากกว่า 1,000 ล้านคน หรือกว่า 77%  รัฐบาลตั้งเป้าการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวนประชากรเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

นับตั้งแต่เกิดการแร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน  ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีจำนวนประชากร 333 ล้านคน  มียอดการติดเชื้อสะสมสูงที่สุดในโลก 49 ล้านคน เสียชีวิตมากที่สุดกว่า 8 แสนคน  แต่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก 1,439 ล้านคน  วันนี้มียอดติดเชื้อสะสมยังไม่ถึง 1 แสนคน เสียชีวิตเพียงแค่ 4,636 คน

วันนี้โลกกำลังเผชิญเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ “โอไมครอน” ที่เชื่อว่าสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเดลต้า   เชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้จะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากขนาดไหนยังต้องเฝ้าดูผลกันอีกระยะ   แต่สำหรับจีนแล้วมีความชัดเจนว่ายังยกการ์ดสูง  ตั้งมั่นนโยบายเดิมโควิดต้องเป็นศูนย์  ไม่ยอมปล่อยให้เชื้อไวรัสเจาะผ่านกำแพงเมืองจีนเข้าไปง่ายๆแน่

 

………………………………………………………………………………………………………………………………………

หมายเหตุ : ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์  ปีที่ 14 ฉบับที่ 370 วันที่ 16-31 ธันวาคม พ.ศ.2564

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *