ซัมมิทประชาธิปไตย แค่ทอล์คโชว์การเมือง
สัมภาษณ์พิเศษ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.กระแส ชนะวงศ์
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
การประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย หรือ Summit for Democracy ระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคม 2564 ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เชิญประเทศต่างๆ รวม 110 ประเทศ เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ปรากฏรายชื่อ “ประเทศไทย”นั้น เป็นทั้งเรื่องน่าแปลกใจและเป็นประเด็นการเมืองที่ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมายซึ่งไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ชัดเจน เพราะทั้งสหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าภาพก็มิได้อธิบายถึงเหตุผลกลใดว่าทำไมกลุ่มอาเซียนจึงเชิญแค่ 3 ประเทศคือมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในขณะที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า “ไม่แปลกที่ไม่ได้เชิญ เป็นดาบ 2 คมถ้าได้รับเชิญ”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่โลกสนใจติดตามการประชุมครั้งนี้คือสาระสำคัญของการประชุมที่เน้นเรื่อง การต่อต้านเผด็จการและอำนาจนิยม การปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านัยยะแอบแฝงแต่ไม่ปิดบังของซัมมิทเพื่อประชาธิปไตยก็คือ การยกตนเองของสหรัฐอเมริกาว่ายังเป็นผู้นำโลกด้านประชาธิปไตย พร้อมๆกับการแบ่งข้างหาพวกเพื่อ “ปิดล้อมจีน” มหาอำนาจอันดับสองที่กำลังแข่งรัศมี เพื่อสกัดกั้นการเติบโตและการขยายอิทธิพลในเวทีโลก
เพื่อทำความเข้าใจถึงเกมการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ผลที่จะมีต่อไทย และสิ่งที่จะตามมาในอนาคตภายหลังการประชุมซัมมิทประชาธิปไตย จึงได้มีการนัดหมายสัมภาษณ์พิเศษ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.กระแส ชนะวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่คนไทยจดจำในนาม “หมอแมกไซไซ” ปัจจุบันท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกริก โดยสรุปมุมมองของหมอกระแสดังนี้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.กระแส ชนะวงศ์
1.มองแบบกลางๆแบบไทยๆ ในช่วงจังหวะนี้การที่สหรัฐอเมริกาไม่เชิญไทยไปร่วมประชุมนั้นเป็นผลดีกับไทยในแง่ที่ว่า ตอนนี้รู้กันอยู่ว่าสหรัฐฯกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความขัดแย้งกันอยู่ หากสหรัฐฯเชิญมาแล้วไทยไปร่วมประชุมไทยจะลำบาก แต่ถ้าไม่ไปก็จะเกิดปัญหาว่าทำไมจึงไม่ไป เมื่อไม่เชิญมาก็ดีแล้ว ไทยเป็นตัวของตัวเองก็อยู่เฉยๆ ประเทศอื่นๆก็มีอีกตั้งเยอะแยะที่เขาไม่ได้เชิญเช่นกันก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไร
2.เรื่องของสหรัฐฯก็เป็นเรื่องของสหรัฐฯ แต่ยังไงสหรัฐฯก็ต้องหวังพึ่งไทย เพราะไทยเป็นจุดศูนย์รวมของอาเซียนที่สำคัญมาก ที่ผ่านมาไทยรักษาจุดยืนได้ดีพอสมควร ในสถานการณ์แบบนี้ตนยังเชื่อมั่นศรัทธาว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยมีคนเก่งๆอยู่มาก โดยรัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นที่คนเจนเวที มีประสบการณ์สูงด้านการต่างประเทศ ตอนตนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นายดอนเป็นทูตอยู่ที่ประเทศจีน คนที่เคยเป็นทูตแล้ววันหนึ่งมาเป็นนักการเมืองยังไงก็ยังรักษาความเป็นทูต
3.หากมองจากมุมจีน จีนอาจจะเข้าใจว่าไทยคงไม่เล่นด้วยกับสหรัฐฯไปทุกเรื่อง หรือสหรัฐฯคงไม่ได้รับความร่วมมือจากไทยเท่าที่ควรก็เลยเตือนไทยโดยการไม่เชิญ จีนอาจจะรู้สึกเชื่อมั่นในไทยมากขึ้นแม้ว่าไทยจะไม่ได้เอ่ยปากออกหน้าว่าเข้าข้างจีน แต่แสดงถึงความมั่นคงว่าไทยไม่ได้เอนเอียงเข้าข้างตะวันตกไปทุกเรื่อง
4.สหรัฐอเมริกาทำตามประสาอเมริกัน คือไม่เคยรู้จักเกรงใจใคร และไม่เคยรู้จักเอาใจใครตามที่ควร อยากทำอะไรก็ทำ ทำแล้วก็มีโอกาสพลาดเยอะ ชาติที่เข้าร่วมประชุม 110 ประเทศใช่ว่าจะชอบสหรัฐฯทั้งหมด เมื่อเชิญมาก็เข้าร่วมประชุม แต่เวลาแสดงความคิดเห็นเขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับอเมริกาก็ได้
โจ ไบเดน ขณะเปิดการประชุมSummit for Democracy
อเมริกาวันนี้แม้จะมีความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษา แต่วิธีการด้านการต่างประเทศไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือเป็น “นักเลงโต” คิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุด เก่งที่สุด ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ตามสไตล์อเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นเดโมแครต หรือรีพับริกันก็จะมาแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พูดว่า America First ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าอเมริกาเห็นแก่ตัว ภาพที่ออกมาคือจะไปอยู่ที่ไหนกับใครก็เอาเปรียบคนอื่นเสนอ ผู้นำที่พูดแบบนี้เสียหาย เพราะผู้นำต้องรู้จักให้คนอื่นก่อน ภาวะผู้นำของสหรัฐฯไม่น่ารักเท่าที่ควร ทั้งๆที่ตำราฝรั่งเองที่เขียนเกี่ยวกับภาวะผู้นำบอกไว้ว่าอย่า อีโก้ ถ้าอีโก้เมื่อไรจะสร้างศัตรูให้แก่ตัวเอง หรือ EGO IS THE ENEMY
- เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มาจากประชาชนพื้นฐานจนกระทั่งก้าวสู่ผู้นำประเทศ แต่แสดงความสุภาพทุกครั้ง ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ แต่เวลาพูดจะชัดถ้อยชัดคำ คม บ่งบอกถึงความรับผิดชอบสูงสุดในคำพูด แต่โจ ไบเดน เทียบแล้วเป็นมวยคนละรุ่น บุคลิกภาพภาวะผู้นำเวลาพูดดูเหมือนไม่มั่นใจในตัวเอง แต่คงเพราะอยากเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยดูถูกว่าถ้าคนอเมริกันเลือกไบเดน เท่ากับว่าปล่อยให้อเมริกาเป็นลูกน้องจีน ไบเดนจึงต้องพิสูจน์ว่าตนเองทำให้อเมริกาเหนือกว่าจีน แต่ยิ่งพูดยิ่งทำก็เหมือนกับพันตัวเองจนยิ่งลำบากจนดิ้นไม่หลุด
- การเจรจาสุดยอดผู้นำสองชาติเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน โจ ไบเดนรับรอง “จีนเดียว” แต่มาจัดซัมมิทประชาธิปไตยแล้วเชิญ “ไต้หวัน”เข้าร่วม มีผลให้ความเชื่อมั่นศรัทธาของสหรัฐอเมริกาลดหย่อนลง ก่อนหน้านี้พันธมิตรตะวันตกบางประเทศก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ดีไม่เหมาะสมที่สหรัฐฯมาชวนไปร่วมทะเลาะกับจีน ในขณะที่บางประเทศผู้นำขาดความเป็นตัวของตัวเองไปเข้าร่วมล้อมจีน เช่นแคนาดา ออสเตรเลีย ซึ่งต้องเจอการตอบโต้กลับ เพราะจีนเดี๋ยวนี้ใหญ่พอที่จะไม่ปล่อยวางเฉยอย่างเมื่อก่อนที่ยอมอ่อนข้อ มีพลังพอที่จะบอกว่าถ้าลื้อทำอย่างนี้อั้วก็ทำอย่างนี้ได้ ลื้อไม่ซื้อของอั้วๆก็ไม่ซื้อของลื้อเหมือนกัน 10 ปีที่ผ่านมานานาประเทศตะวันตกพึ่งพาอาศัยจีนค่อนข้างมาก สินค้าต่างๆที่ประชาชนชื่นชอบราคาถูกก็มาจากจีน และจีนก็มีเงินมากที่จะไปซื้อสินค้าจากประเทศนั้นเช่นเนื้อวัวจากออสเตรเลีย จีนซื้อรายเดียวแทบจะเหมาหมด พอไปทะเลาะกับจีนแล้วจีนประกาศไม่ซื้อก็ส่งผลให้ตลาดพังยับเยิน
การประชุมออนไลน์กับผู้แทน110ประเทศประชาธิปไตยที่ไม่มีไทยเข้าร่วม
7.เรื่องสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐฯยกมาอ้างนั้น ต้องคิดว่าแต่ละประเทศต่างมีประวัติศาสตร์ของเขา ยกตัวอย่างประเทศอิรัก แต่เดิมบรรยากาศเขาไม่เหมือนประชาธิปไตยแบบอเมริกาแต่เขาก็อยู่ได้เพราะซัดดัม ฮุสเซน จะปกครองในรูปแบบของเขา แล้วสหรัฐฯบุกเข้าไปยึดประเทศเขาฆ่าผู้นำเขาตายอ้างสารพัดเหตุผล พอได้ประโยชน์มากพอแล้วถอนออก อิรักวันนี้กลายเป็นรัฐล้มเหลว หรือกรณีอัฟกานิสถานก็เช่นเดียวกัน ภาพพจน์ของการไปข่มเหงรังแกชาติอื่นแบบนี้ทำให้คนอเมริกันดีๆเขาก็ด่าผู้นำของเขาเหมือนกัน
ถ้าสหรัฐอเมริกายกเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนมากล่าวหาชาติอื่น ฝ่ายตรงข้ามก็ประณามอเมริกาได้อีกเยอะ เพราะประวัติศาสตร์สหรัฐฯก็เริ่มต้นจากการทำร้ายทำลายสิทธิมนุษยชนของคนอื่น ไปซื้อทาสจากแอฟริกา คนไหนป่วยหรืออ่อนแอก็ถีบทิ้งทะเล เหตุการณ์ผ่านมาจนวันนี้คนผิวดำในสหรัฐฯก็ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำกับคนผิวขาว เดี๋ยวนี้หลายเมืองมีปัญหาความอดอยากถึงขนาดบุกเข้าปล้นห้าง ร้านค้า ตำรวจออกมาจับบ้าง ไม่จับบ้าง
การจะประณามประเทศไหนเรื่องสิทธิมนุษยชนต้องระวัง เพราะแต่ละแห่งมีประวัติศาสตร์ของตนเอง เวลาเราชี้ไปว่าใครผิด ใครเลว ใครชั่วนั้น หนึ่งนิ้วชี้ไปคนอื่น แต่อีก4นิ้วที่เหลือชี้กลับมาที่ตัวเอง
การ์ตูนล้อเลียนจากโกบอล ไทม์ส
8.กรณีเมียนมาที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดของไทย จีนสนับสนุนแต่สหรัฐฯต่อต้าน ไทยควรแสดงจุดยืนว่าด้านความสัมพันธ์ที่ผ่านมานั้นมีความใกล้ชิดเหมือนญาติพี่น้อง เราต้องแสดงออกด้านมนุษยธรรม ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม โดยเฉพาะเราทั้งคู่เป็นเมืองพุทธ ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันนี้สังคมและเศรษฐกิจไทยอาศัยแรงงานชาวเมียนมาไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันการจะยอมรับนับถือเป็นทางการก็ต้องเคารพกติกาของอาเซียน เพราะเราจะทำมากกว่านั้นไม่ได้
9.ผลสรุปของการประชุมซัมมิทประชาธิปไตย ตามประสาคนจัดก็ต้องบอกถึงผลสำเร็จของงาน แต่คงไม่มีผลจริงจังต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆเพราะมิใช่การประชุมทางการแบบประชุมสหประชาชาติ ประชุมสหภาพยุโรป ประชุมอาเซียน หรือแม้แต่ World Economic Forum แต่งานนี้เหมือนเอ็นจีโอที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯสนับสนุน เป็นงานที่สนองความคิดโจ ไบเดน ว่าสหรัฐอเมริกายังเป็นผู้นำโลก พูดจบแล้วก็หายไป ถ้ามองว่าเป็นการหาแนวร่วมล้อมจีนหรือต่อต้านจีนแล้วก็ยิ่งไม่มีผลอะไรเป็นรูปธรรม
สำหรับประเทศไทยที่ไม่ได้ร่วมประชุม ควรแสดงความมั่นใจในความเป็นไทย อย่าไปหวังพึ่งใคร ต้องพึ่งตัวเอง