19/04/2024

รอนักท่องเที่ยวจีนกู้โลก

 

โดย / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

เมื่อจีนพัฒนาภายในประเทศมาถึงระดับหนึ่ง  คนจีนมีคุณภาพชีวิตมีรายได้ดีขึ้น  รัฐบาลจีนได้ยกระดับนโยบายเปิดสู่ภายนอก  ขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศเพื่อเชื่อมโลก  เปิดโอกาสและส่งเสริมให้คนจีนเดินทางออกนอกประเทศเพื่อเปิดโลกทัศน์เปิดหูตาให้กว้างไกลขึ้น  ให้เด็กจีนไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาตามมหาวิทยาลัยดังๆของโลก  ให้พ่อค้าจีนไปทำการค้าการลงทุนกับนานาประเทศ  และให้คนจีนทุกระดับชั้นได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในดินแดนต่างๆทั่วโลก

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกจากจะใช้อภิมหาโครงการลงทุน “เส้นทางสายไหมยุคใหม่” หรือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”( Belt and Road Initiative : BRI ) ในการสร้างความสัมพันธ์กับนานาชาติและขยายอิทธิพลของจีนในด้านเศรษฐกิจแล้ว  ผู้นำจีนยังใช้ “การส่งออกนักท่องเที่ยวจีน” เป็นแรงดึงดูดความสนใจและความร่วมมือกับนานาชาติด้วย

ในปี 1995 ยุคประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน คนจีนออกเดินทางต่างประเทศเพียงแค่ 5 ล้านคน

ปี 2013 ปีแรกที่สี จิ้นผิง เป็นประธานาธิบดี จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวออกเดินทางต่างประเทศมากที่สุดในโลก 97.3 ล้านคน  และครองอันดับ 1 มาต่อเนื่อง เช่นปี 2016 ทำสถิติ 135 ล้านคน  ปี 2017 เพิ่มเป็น142 ล้านคน จนถึงปี 2019 เพิ่มเป็น 167 ล้านคน  จากนักท่องเที่ยวทั่วโลกประมาณ 1,460 ล้านคน

หากไม่เกิดโรคโควิด-19 เสียก่อนมีการคาดหมายว่าปี 2030 นักท่องเที่ยวจีนจะก้าวกระโดดถึง 334 ล้านคน

แนวโน้มการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนเคยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% ตามกำลังซื้อและสัดส่วน “ชนชั้นกลาง”ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  อันเนื่องมาจากความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป  จากการศึกษาพบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางต่างประเทศมีอายุเฉลี่ย 35 ปี เป็นกลุ่มมิลเลนเนียลส์(Millennials) สูงถึง 80% คนกลุ่มนี้เข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์  มีการค้นหาข้อมูลล่วงหน้าและสามารถเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเองโดยไม่ผ่านกรุ๊ปทัวร์

การที่คนจีนนับร้อยล้านคนออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกในแต่ละปีนั้นย่อมมีผลทางเศรษฐกิจต่อนานาประเทศโดยเฉพาะประเทศที่หวังพึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ

ดูอย่างสหรัฐอเมริกาที่เป็นคู่กัดของจีนที่ว่าแน่ที่ว่าเก่ง  ก็ได้รับผลกระเทือนด้านการท่องเที่ยวเช่นกัน  เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็น 2.8% ของจีดีพี  คนจีนเคยเดินทางไปเที่ยวสหรัฐฯมากเป็นอันดับ 3 รองจากอังกฤษและญี่ปุ่น  ปี 2019 คนจีนขนเงินไปใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในสหรัฐฯสูงถึง 3.46 หมื่นล้านดอลลาร์ เฉลี่ย 6,500 ดอลลาร์/คน ในช่วงเวลาเฉลี่ย 12วัน

ปี 2020 ช่วง 10 เดือนแรกมีคนจีนเดินทางเข้าสหรัฐฯ 2.5 ล้านคน  แต่ละปีตลาดท่องเที่ยวของสหรัฐฯมีมูลค่าประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์  มีการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรรมท่องเที่ยวประมาณ 10 ล้านคน

เมื่อโควิด-19 แพร่ระบาดหนักๆนอกจากการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกจะหยุดชะงักเพราะมาตรการล็อคดาวน์ ปิดประเทศห้ามเข้า-ออกแล้ว  ผลที่ตามมาคืออุตสาหกรรมการบินทั่วโลกที่พังทลาย  โรงแรม  รีสอร์ท  ศูนย์การประชุมสัมมนา  สวนสนุก  แหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ ได้รับบาดเจ็บล้มตายไปตามๆกัน

 

ส่วนประเทศไทยเราจากปี 2014 จนถึง 2019 สามารถประคองตัวมาได้หลังการรัฐประหารและทหารยังครองอำนาจมาถึงปัจจุบันก็เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก  ปี 2019 มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคนนำเงินเข้าประเทศ 1.93 ล้านล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวคือ 20% ของจีดีพี  โดยเฉพาะคนจีนที่เดินทางเข้าไทยมากถึง 10.9 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยว 70% เข้ามาทำธุรกิจ 30% สร้างรายได้แก่ประเทศไทย 5.3 แสนล้านบาท

ปี 2020 ที่เกิดโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนแล้วแพร่ระบาดไปทั่วโลก  นักท่องเที่ยวต่างชาติหดเหลือ 6.7 ล้านคน สร้างรายได้แค่ 3.3 แสนล้านบาท  ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเหลือแค่ 1.2 ล้านคน สร้างรายได้ 5.9 หมื่นล้านเพียงแค่ต้นปี  จากนั้นก็เงียบสนิทเพราะรัฐบาลจีนสั่งบริษัททัวร์หยุดกิจกรรมนำเที่ยวระหว่างประเทศทั้งเข้าและออกจนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่ 24 มกราคม 2020  กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนได้ออกประกาศด่วนถึงกลุ่มผู้ประกอบการนำเที่ยวในประเทศจีน  อ้างคำสั่งของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงให้หยุดการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วนและปกป้องชีวิตประชาชน กระทรวงฯ จึงสั่งให้บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว หยุดขายตั๋วเครื่องบินและโรงแรม

แม้ต่อมาจีนจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ได้ และมีการผ่อนคลายจนถึงขั้นส่งเสริมให้คนจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศได้อีกครั้ง  แต่การจัดนำเที่ยวต่างประเทศหรือพาทัวร์เข้าจีนก็ยังไม่ได้รับอนุญาต

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ  กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนประกาศว่า จีนได้ระงับการยื่นขอหนังสือเดินทางในปีนี้ โดยไม่ได้ระบุว่านโยบายดังกล่าวจะได้รับการผ่อนคลายเมื่อใด  แต่ให้เหตุผลว่าการยับยั้งการเดินทางที่ไม่เร่งด่วนเป็นเรื่องสำคัญในการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19  อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงาน ศึกษาต่อต่างประเทศ หรือการเดินทางทางธุรกิจ

จีนมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศจีน ได้แก่ การตรวจเชื้อโควิด-19 และการต้องกักกันภาคบังคับระหว่าง 14 – 21 วัน  แม้แต่คนจีนที่เดินทางไปติดต่องานต่างประเทศเมื่อเดินทางกลับก็ยังต้องปฏิบัติมาตรฐานเดียวกัน  จึงยังเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่คิดจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  ที่พยายามผลักดันการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2021  ฝันว่าจะได้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาช่วยกอบกู้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอีกครั้ง  จึงวางแผนจะเข้าพบเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อหารือถึงความเป็นไปได้

รัฐมนตรีท่องเที่ยวไทยสั่งการให้สำนักงาน ททท.ในประเทศจีนไปคุยกับหน่วยงานจีน  ขอให้สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ไปเจรจากับคู่ค้าเพื่อเตรียมดึงกรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางเข้าไทยในต้นปีหน้า เช่นหลังจากจบโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 และเทศกาลตรุษจีน 2022  ด้วยข้อเสนอให้นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยโดยไม่ต้องกักตัว

ทุกประเทศก็คิดแบบเดียวกัน  แต่สุดท้ายขึ้นอยู่ที่ท่านผู้นำสูงสุดว่าเมื่อไหร่จะเหมาะสม  เมื่อไรที่จีนปลอดภัยจากโควิด  และเมื่อไรจีนจะออกมาเล่นบทพระเอกช่วยกอบกู้การท่องเที่ยวของโลก

……………………………………………………………………………..

หมายเหตุ : ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์  ปีที่ 14 ฉบับที่ 367 วันที่ 1-15 พฤศจิกายน พ.ศ.2564

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *